ในแต่ละประเทศทั่วโลกล้วนแต่ก็มีเรื่องเล่าตำนานเป็นของตัวเอง อาจจะเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาจากรุ่นสู่รุ่น หรือจะเป็นการเล่ากันมาปากต่อปาก จนบางเหตุการณ์ก็อาจจะมีผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่มีบางตำนานที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นซะงั้น!! จนทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดกลัว เป็นลมล้ม หรือบางอาจถึงกับช็อตไปเลยก็มี .. กับ 10 อันดับเรื่องในตำนาน ที่ไม่น่าเชื่อว่ากลายเป็นเรื่องจริง!!
10 เรื่องในตำนาน ที่ไม่น่าเชื่อว่ากลายเป็นเรื่องจริง
10. The Clown Statue / The Clown Doll
ชาวอเมริกันบางคนอาจจะเกิดอาการกลัวตัวตลก (จากการวิเคราะห์ของนักจิตวิทยาพบว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบตัวตลก) ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ภาพยนตร์หลายเรื่องมักใช้ตัวตลกมาทำเป็นสัตว์ประหลาดทำร้ายคน นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าที่น่าขนหัวลุกเกี่ยวกับตัวตลกอีกว่า
ซึ่งเรื่องเริ่มขึ้นว่าในระหว่างที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ในช่วงเวลากลางดึกของคืนวันหนึ่ง ระหว่างที่พ่อ-แม่กำลังดูทีวีอยู่ในห้องนอนนั้น ลูกของเขาก็ได้เดินเข้ามาในห้องของเขา พ่อ-แม่จึงถามว่า “ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะลูก” แล้วเด็กก็ตอบกลับไปว่า “พ่อ-แม่ช่วยไปจัดการกับตุ๊กตาตัวตลกในห้องให้ผมทีนะครับ มันจ้องหน้าผมตลอดเลย จนทำให้ผมนอนไม่หลับ” เมื่อพ่อ-แม่ได้ยินแบบนั้นถึงกับอึ้งไปเลย เพราะว่าที่บ้านของพวกเขาไม่เคยซื้อตุ๊กตา หรือรูปปั้นตัวตลกเลย แล้วนั่นมันคืออะไร? ที่ลูกของเขาเห็น…
ด้วยความกลัวพวกเขาจึงรีบโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจทันที แต่เมื่อตำรวจเข้าไปตรวจสอบภายในห้องก็ไม่รูปปั้นตัวตลกเลย แต่กลับพบร่องรอยของการบุกรุกจากภายนอก ซึ่งตำรวจได้สันนิษฐานว่าเป็นคนจรจัด ไม่ก็คนบ้าได้ปลอมเป็นตัวตลกแอบเข้ามาในบ้าน และเรื่องเล่าดังกล่าวก็เคยถูกนำมาแต่งเป็นนิยายของ สตีเฟ่น คิง และถูกนำมาเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Stephen King’s It (1990) หรือเรื่อง Killer Klowns (1988), Clownhouse (1990) ที่นำเสนอเป็นสัตว์ประหลาดที่มันจะออกมากินเด็กในเมืองนั้น และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น?
ต่อมาในปี 1990 ที่ West Palm Beach ฟลอริด้า หญิงสาวคนหนึ่งชื่อ “เชียลา” (shelia keen) อายุ 27 ปีถูกยิงตายโดยผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า “คนที่ฆ่าเธอนั้นได้แต่งตัวเป็นตัวตลกใส่วิกซ์ผมสีทอง” (และคดีนี้ไม่สามารถไขได้ จนกลายเป็นคดีปริศนาในเวลาต่อมา) แต่ฆาตกรตัวตลกนี้ก็เทียบไม่ได้กลับฆาตกรต่อเนื่องอย่าง จอห์น เวยน์ เกซี (John Wayne Gacy 1942-1994) ที่ทำการฆาตกรรมฆ่าข่มขืนเด็กหนุ่ม 33 ชีวิตในระหว่างปี 1970-1978 ในเมืองชิคาโก้ รัฐอิลินอยส์ เขาถูกตั้งฉายาว่า “ฆาตกรตัวตลก” เนื่องจากเขาชอบ แต่งตัวเป็นตัวตลกไปเยี่ยมเด็กๆ ในโรงพยาบาล หรืองานกุศล สุดท้ายเขาก็ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด
9. The Living Severed Head
เป็นความเชื่อของคนหลายคนทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่อเมริกาเท่านั้น โดยเชื่อว่าเมื่อคนโดนตัดหัวหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!! และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น!! เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตาพะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม?
เรื่องเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงที่กิโยติน หรือเครื่องตัดหัวเป็นที่นิยมใช้ประหารนักโทษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการประหารที่ทำให้ผู้ถูกประหายรตายอย่างรวดเร็ว สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละที จะทำท่ามกลางประชาชนที่มามุมแน่นขนัด และนั้นเองทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นหัวยังมีชีวิตอยู่
หนึ่งในนั้นคือ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม ชาร์ล็อตต์ คอร์เดย์ (Charlotte Corday) สาวบ้านนอกที่ได้ทำการฆาตกรรม พอล มารัต (Jean-Paul Marat) เธอถูกประหารด้วยกิโยตินซึ่งหลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจ และได้พูดคำว่า “ไม่ได้” (couldn) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา ผลคือมีนักโทษหลาย คนแสดงให้เห็นว่าแม้ถูกตัดหัวตนก็ยังมีชีวิตอยู่
และใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ก็ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้นานหลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำการทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ (Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน (แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม) ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับนานถึงห้า ถึง หกวินาทีด้วยกัน และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องอันน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกอีกครั้ง และจ้องมองเขา ทำให้เกิดความเชื่อว่า “เมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาที” แพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าว “เกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบ หรือกลอกตาไปมานั่นเอง)”
8. Mummy Fun house
ระหว่างวันหยุด ชายหญิงคู่หนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับเครื่องเล่นต่างๆ ก่อนที่จะจบลงที่ทั้งสองตัดสินใจไปเที่ยวบ้านผีสิง และข้างในบ้านผีสิงนั้น ทำให้ทั้งสองได้เห็นมัมมี่ และมันเหมือนจริงมาก ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง หรือแม้กระดูกของมันก็เหมือนมนุษย์เอามากๆ เลยทีเดียว ซึ่งมันสมจริงเกินกว่าที่จะทำด้วยไม้อัด
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสำรวจอยู่นั้นเองก็พบว่า มันคือของจริง!! มันเป็นจริงซะงั้น!! OMG!!
เพื่อนๆ น่าจะคงเคยได้ยินมาบ้าง…ที่ว่าไปเที่ยวบ้านผีสิงอยู่ดีๆ กับพบศพของจริงซะงั้น และเรื่องนี้กลายเป็นจริงเหมือนกัน เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1976 ทีมงานสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์ชุด (เรื่องThe Six Million Dollar Man) ได้ยกกองไปถ่ายทำบ้านผีสิง (Amusement Park in Long Beach) ในสวนสนุกลองบีช แคลิฟอร์เนีย ที่มีมัมมี่ตัวหนึ่งแขวนอยู่ การถ่ายทำดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั้งคนงานในกองถ่ายคนหนึ่ง ร้องเอะอะขึ้นมาด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อแขนข้างหนึ่งของมัมมี่เกิดหลุดร่วงลงมาที่พื้น เศษเนื้อเศษหนังที่หุ้มกระดูกมนุษย์กระจายเกลื่อนเต็มพื้น ทำให้เขาถึงกลับตกใจร้องออกมาด้วยความกลัว ที่มันไม่ใช้มัมมี่ของปลอม หากแต่มันเป็นของจริง!!
7. The Body in the Bed | ศพใต้เตียง
ชายหญิงคู่หนึ่งเดินทางไปลาสเวกัส เพื่อไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของพวกเขา ทั้งคู่ได้เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และเมื่อทั้งคู่เข้ามาในห้องก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพที่รุนแรงมาก พวกเขาพยายามหาที่มาของกลิ่นนั้น แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่พบ ทั้งคู่เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่า ผู้จัดการของโรงแรมได้ขอโทษและอธิบายว่าตอนนี้ห้องของโรงแรมเต็มหมดแล้ว เพราะมีการจัดประชุมที่นี้ จึงไม่สามารถหาห้องว่างห้องอื่นให้ได้ เขาเลยเสนอชดเชยด้วยอาหารฟรี มื้อกลางวันแทนการเปลี่ยนห้อง และจะส่งแม่บ้าน มาทำความสะอาดห้องให้ใหม่ ทั้งคู่จึงยอม และกลับมาที่ห้องเดิม…
แต่พวกเขากลับยังได้กลิ่นเหม็นเหมือนเดิม เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่าอีกครั้ง และขอให้เปลี่ยนห้องเดี๋ยวนี้ ผู้จัดการบอกว่าตอนนี้ห้องเต็มเหลือแต่ห้องวีไอพีเท่านั้น แต่ทั้งคู่พึ่งเสียเงินไปกับการพนัน เลยไม่มีเงินมาเช่าห้องที่ดีกว่านี้ ผู้จัดการเลยส่งแม่บ้านมาอีกครั้ง คราวนี้สั่งให้เปลี่ยนของใช้ในห้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดพรม เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าม่าน วางตำแหน่งของต่างๆ ให้ต่างจากเดิม แต่ปรากฏว่าเมื่อทั้งคู่มาห้องนี้อีกครั้งก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนเดิม ฝ่ายผู้ชายหมดความอดทน และโมโหจัดจึงทำลายของใช้ในห้องจนเกือบหมด และแล้วเมื่อเขาดึงที่นอนสปริงออกมา เขาก็ต้องตกใจสุดขีด!! เพราะมันมีศพผู้หญิงยัดอยู่ข้างในนั้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่นิยมกันในต่างประเทศ รวมถึงไทยด้วย เพื่อนๆ คงเคยได้ยินเรื่อง “ผีช่องแอร์” กันใช่มั๊ย นั้นแหละมีเค้าโครงมาจากเรื่องนี้เช่นกัน และบางครั้งรายละเอียดจะแตกต่างกันบ้าง แต่รวมๆ ก็แนวๆ นี้แหละ พักโรงแรม ได้กลิ่นเหม็นที่ห้อง และพบซากศพ ซึ่งตำนานที่ว่านี้ก็เป็นเรื่องจริงซะด้วย!! เมื่อมีเหตุการณ์ใกล้เคียงที่เกิดขึ้นจริงในการพบศพนิรนามที่ไม่สามารถระบุได้ว่ามันมาได้อย่างไรในเตียงนอนของโรงแรม อีกทั้งมันอยู่ที่นั้นมานานหลายวันกว่าที่จะถูกค้นพบ เช่น ในแอตแลนติกซิตี นิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ปี 1999 มีการพบร่างของ ซาอูล (Saul Hernandez) อายุ 64 ในห้องของโรงแรม Burgundy Motor หลังจากสองนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันนอนค้างคืนในห้องนั้น และบ่นว่าห้องมีกลิ่นเหม็น จนออกมาบ่นกับผู้จัดการโรงแรมหลายครั้ง และแม่บ้านก็ไปทำความสะอาดห้องหลายครั้ง จนกระทั้งพบศพใต้เตียงดังกล่าว
6. The Curiously Realistic Decoration | ศพที่แขวนอยู่
ในวันฮาโลวีน เด็กๆ กำลังไปขอขนมตามบ้านเรือนต่างๆ ที่แต่ละบ้านตกแต่งต้อนรับวันนี้อย่างสนุกสนาน ทั้งโครงกระดูกปลอม หัวฟักทอง โลงศพ โดยหลายคนไม่สนใจเลยว่าตุ๊กตาแขวนคอต้นไม้ที่เหมือนของประดับมันเป็นศพของคนฆ่าตัวตายของจริง!!
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2005 พบศพหญิงนิรนามอายุ 42 ปีแขวนคอฆ่าตัวตายในสวนสาธารณะในฟลอริดา เดลาแวร์ หากแต่ศพนั้นห้อยต๋องแต๋งเหนือพื้นดิน 15 ฟุต หลายชั่วโมง โดยไม่มีใครสนใจเลย เนื่องจากคิดว่ามันเป็นของประดับวันฮาโลวีน ผู้คนผ่านไปเห็นศพนั้นหลายรายจนกระทั้งเพื่อนบ้านใกล้สถานที่เกิดขึ้นสังเกตร่างกายนั้นเมื่อเวลา 7:30 ในตอนเช้า
และ ในเดือนตุลาคม 2009 ก็เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีก เมื่อร่างกายของเหยื่อฆ่าตัวตายชื่อ MostafaMahmoud Zayed อายุ 75 ปีคนหนึ่งถูกพบในระเบียงของบ้าน Marina Del Rey, แคลิฟอร์เนีย เพื่อนบ้านบอกว่า “ที่พวกเขาไม่สังเกตเห็น และปล่อยศพทิ้งไว้ เพราะนึกว่าเป็นของตกแต่งวันฮาโลวีนนั่นเอง”
จากการสืบสวนของตำรวจพบว่าเขาตายมานานสามวัน โดยลูกกระสุนที่ยิงเข้าที่ตา
5. The Toxic Woman | เลือดเป็นพิษ
ผู้หญิงคนหนึ่งได้ล้มป่วย และเธอก็ถูกนำส่งโรงพยาบาล เมื่อนางพยาบาลใช้สายยาง เพื่อนำมาต่อกับถุงเลือดสำรอง กลับพบว่าเลือดเธอเป็นพิษ ทำให้นางพยาบาล และคนอื่นๆ ที่สัมผัสโดด หรือดมเลือดของเธอ เกิดอาการผิดปกติ และตายอย่างทรมานในเวลาต่อมา แต่มันคือเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต!!
เมื่อเวลา 8:15 ในตอนเย็น เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์, 1994 กลอเรีย รามิเรซ (Gloria Ramirez) อายุ 31 ปี เกิดอาการป่วยต้องเข้าห้องภาวะฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเมืองแคลิฟอร์เนียทางใต้ของริเวอร์ไซด์ ตอนนั้นเธอใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น มีอาการแปลกๆ คือหายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็วเกินไป ความดันเลือดสูง และเธอตอบสนองกับคำถามสั้นๆ เท่านั้น แต่ก็พูดตะกุกตะกัก โดยขั้นแรกนั้นคณะแพทย์สันนิษฐานว่าเธอเป็นมะเร็งที่คอ คณะแพทย์ที่รักษากลอเรีย ได้ทำการฉีดยาให้กับเธอ แต่เธอก็กระตุกเป็นระยะๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องทำการปั๊มหัวใจเธอ เขาลอกเสื้อเชิ้ตของเธอออก และกดขั้วไฟฟ้าที่หน้าอกของเธอ ในระหว่างนั้นเอง บางคนได้กลิ่นของผลไม้ออกจากปากของเธอ แพทย์เลยทำการเจาะเลือดเพื่อวิเคราะห์ นางพยาบาลทำการแนบกระบอกฉีดยา เลือดของเธอมีสีแปลกๆ มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย….
จากนั้นหายนะก็เกิด เมื่อเลือดของเธอพุ่งกระเด็นจากช่องรูเข็มฉีดยา ไปโดนหน้านางพยาบาลจนหน้าของเธอไหม้!! เธอล้มลงไปกับพื้น อาเจียน จากนั้นพยาบาลอีกคนก็ล้มชัก จากนั้นมันเริ่มลุกลามมายังคนใกล้เคียง จนผู้บริหารโรงพยาบาลออกประกาศภาวะฉุกเฉินภายใน ผลสุดท้ายมีผู้ป่วยจากเหตุการณ์นี้จำนวน 23 (คณะที่รักษาเธอมี 37 คน) ซึ่งทั้งหมดถูกจับ เพื่อเข้าเขตกักกังเชื้อโรคทั้งหมด โดยมีอาการเหมือนหญิงที่ป่วยในตอนแรกไม่มีผิด
ภายหลังก็ได้มีผลสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ว่า “หญิงคนนั้น และคนป่วยทั้งหมด เป็นหลายโรคมากๆ ทั้ง ฮิสทีเรียมวล, โรคตับอักเสบ, เนื้อเยื่อตาย, กระดูกผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายทนทุกข์ทรมาน และตายในสองสัปดาห์ให้หลัง” ส่วนตัวกลอเรียเธอตายหลังจากนั้น 40 นาทีหลังเธอเข้าโรงพยาบาล ผลชันสูตรศพ (แบบปลอดเชื้อสุดๆ) พบว่าเลือดของเธอเป็นพิษ สามารถระเหยเป็นไอได้ ใครสูดดม สามารถตายได้ทันทีเสมือนหนึ่งเป็นแก๊สพิษ
4. The Headless Lover | หัวของชู้รัก
หญิงท้องคนหนึ่ง บอกสามีของเธอว่า “ลูกในท้องไม่ใช่ลูกเขาแต่เป็นลูกของผู้ชายอีกคน” ทำให้สามีของเธอโกรธมาก เลยตัดสินใจตัดหัวชู้รัก แล้วเอามาฝากภรรยาที่กำลังตั้งท้องแก่ มันเป็นเรื่องเล่าที่เล่าต่อๆ กันมาหลายแบบ แต่ส่วนมากก็ออกแนวประมาณนี้ซะส่วนใหญ่ คือ..
จ่าสิบเอก สตีเฟน แชพ (Sgt Stephen Schap) และ ไดแอน แชพ (Diane Schap) คู่รักพลเรือนทหาร ในค่ายที่เยอรมนี ในปี 1993 จ่าสิบเอกได้ยินข่าวดีว่าภรรยาของเขากำลังตั้งท้อง แต่มันคงจะเป็นข่าวดีสุดๆ หรอกถ้าสตีเฟนไม่ได้ทำหมันแล้ว เขาเป็นหมันแล้วภรรยาท้องได้ไง?!...
ไดแอนจำต้องยอมรับว่า เธอไปมีชู้กับเพื่อนรักของสตีเฟน ชื่อ เกรกอรี่ โกลเวอร์ โชคร้ายสตีเฟนแก้แค้นเธอล้ำลึกกว่าที่เอาเก้าอี้ขว้างใส่เธออีก
ในธันวาคมตอนเย็น ไดแอนที่ตั้งครรภ์แก่ อยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เธอโทรศัพท์ถึงชู้รักของเธอเกรกอรี่ แต่แล้วจู่ๆ สายเขาก็ขาดไป ไดแอนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาในเวลานั้น และอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาสตีเฟนเข้ามาในห้องของเธอแล้วเขาก็ขว้างหัวสดๆ ของเกรกอรี่จากกระเป๋าหิ้วใส่หน้าเธอ จากนั้นสตีเฟนก็พูดว่า “ดูสิไดแอน ฉันพาคนรักของเธอมาให้แล้ว เธอจะได้นอนกอดเขาทั้งคืนทั้งวัน สมใจเลยแหละ” สตีเฟนกล่าวกับภรรยา นี้เป็นการแก้แค้นที่สะใจสำหรับเขา
ภาพที่ใช้ระลึกถึงคนหลังความตาย
3. Something Off About That Picture
มีชายคนหนุ่มคนหนึ่งเดินทางมาที่ร้านขายของชำของสุภาพสตรีสูงอายุคนหนึ่ง เขาเกิดไปสะดุดตาภาพถ่ายของชายคนหนึ่ง รูปก็ดูปกติดี เด็กชายในชุดที่แต่งจนหล่อเนี้ยบ แต่มันดูแปลกๆ เขาจึงถามหญิงชราว่า “นี่ใครกัน?” หญิงชราตอบกลับ พยายามจับแมวให้อยู่นิ่งๆ ในอ่างล้างจาน “ดูไม่ออกเหรอว่าเขาตายแล้ว แต่รูปนี้ดูดีนะ เธอว่ามั้ย?”
Post-mortem photography หมายถึง งานศิลปะ หรือภาพที่ใช้ระลึกถึงคนหลังความตาย เพราะเป็นการจัดศพของคนที่ตายไปแล้วมาแต่งหน้าทำผม แต่งตัว และถ่ายรูปให้เสมือนเขายังมีชีวิต (ทำท่าเหมือนนอนหลับ) ก่อนนำไปฝัง
การถ่ายภาพนี้นิยมในหมู่ชนชั้นกลางสมัยวิคตอเรียน ส่วนมากลูกค้ามักเป็นลูกสาว หรือทารก ซึ่งพ่อแม่เด็กรับไม่ได้ว่าพวกเขาตายไปแล้วเด็กที่ตายมักถูกจัดแสดงในการนอนพิงบนที่นอน หรือในเตียงนอนเด็ก บางครั้งการจัดท่ากับของเล่นโปรด ส่วนผู้ใหญ่จะวางท่าให้นั่งเก้าอี้ โดยมีเสาค้ำอยุ่นั่นเอง
นอกจากนี้ก็ยังมีลูกค้าที่เป็นบาทหลวงที่ตายแล้ว ก็ถูกนำมาแต่งเต็มยศ และนำไปไว้ในโบสถ์งานศพของเขาเสมือนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ (1945 ) หรือนักโทษประหารบางคนที่ถูกประหารด้วยกิโยตินซึ่งเมื่อคอเขาขาดก็นำมาต่อใหม่ และถ่ายรูปเอาไว้ เป็นต้น
2. Drugs Smuggled in Baby’s Corpse
โดยเรื่องนี้เป็นตำนานเมืองเก่า ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรเลยตั้งแต่ปี 1970 โดยมีเรื่องเล่าว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งกับเพื่อนได้ไปท่องเที่ยวสนุกสนานที่ชายแดนเม็กซิโก โดยพวกเขานำทารก 2 ขวบไปด้วย และพวกเขาได้คลาดสายตาทารกแค่แป๊ปเดียวเท่านั้นเอง เด็กทารกก็หายไป พวกเขาจึงไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ออกตามหา และ 15 นาทีต่อมาพวกเขาก็ได้พบเด็ก ผู้เป็นแม่วิ่งไปขอบคุณตำรวจ
… แต่หลังจากนั้นความดีใจก็หายไปทันที เมื่อพวกเขาพบว่าเด็กทารกที่ว่านั้นตายมานาน เป็นเวลา 45 นาทีที่หายไป แล้วที่ท้องเด็กถูกผ่าออก และข้างในยัดด้วยโคเคน สาเหตุการตายของทารกที่ตำรวจได้สันนิษฐาน คือพวกโจรลักพาเด็ก เพื่อซ่อนยาเสพติด ใช้วนการหนีจุดตรวจไปสหรัฐนั่นเอง
เรื่องการยัดยาเสพติดเข้าไปในศพ เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบก่อนเข้าสหรัฐอเมริกามีมาช้านานแล้วนะคะ ดั่งข่าวหนึ่งในวอชิงตันโพสต์ ค.ศ.1985 ที่ย่อหน้าว่า “เมื่อวันจันทร์ ในไมอามี่มีการลักลอบขนโคเคนเข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยยัดในศพเด็กทารก ในเที่ยวบินจากโคลอมเบียไปยังไมอามี่” โดยตอนแรกเจ้าหน้าที่พบว่า “ศพเด็กที่ตอนแรกนั้นมาแบบเด็กที่เหมือนมีชีวิต พวกนั้นจะทำท่าทำทางเป็นแม่ของเด็ก หากแต่พวกเขาพบพิรุธเสียก่อน”
1. Buried Alive! ฝังทั้งเป็น
และแล้วก็มาถึงอันดับ 1 ของเรา “ฝังทั้งเป็น” เรื่องเล่ากันว่ามีหญิงชายคู่หนึ่งแต่งงานกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั้งแก่เฒ่า ภรรยาของเขาได้จากไป เขาจัดพิธีศพตามหลักศาสนาคริสต์ คือนำศพของเธอมาฝังในโลงศพอย่างดี ฝังในสุสาน เพื่อให้เธอพักผ่อนถาวร
เรื่องคงจบเพียงเท่านี้ หากแต่ไม่ เมื่อดึกคืนหนึ่งในขณะที่ฝ่ายชายนอนหลับ เขาได้ฝันน่ากลัวว่า “เขาเห็นภรรยาที่อยู่ในโลงศพลืมตาตื่นขึ้นมา เธอพยายามตะเกียกตะกาย เพื่อออกจากโลงที่ถูกฝังในดิน ความมืด ความแคบ อากาศก็น้อยลงทุกที ทำให้เธอกลายเป็นบ้า และเธอก็กำลังร้องชื่อเขา เพื่อให้มาช่วยเหลือเธอ”
ฝ่ายชายฝันร้ายแบบนี้ทุกค่ำคืน จนกระทั้งทนไม่ไหว เขาเลยร้องขอให้แพทย์ และหน่วยงานท้องถิ่นนำโลงศพของภรรยาของเขาออกมา และเมื่อทั้งหมดเปิดฝาโลงก็ตะลึงเมื่อศพภรรยาของเขาไม่ได้เน่าเบื่อ ซ้ำที่เบิกตาโพลง ทำหน้าตาหวาดกลัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ที่เล็บมีเลือดเกรอะกรัง ที่ฝาโลงด้านในมีรอยขีดข่วนชัดเจน
เรื่องของศพที่คิดว่าตายแล้ว นำมาฝังตามพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่ต่อมากลับพบว่าผู้ตายนั้นไม่ได้ตายจริง และกลับมาคืนชีพในโลงศพ และพยายามตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอดเรื่องราวเหล่านี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญมากมาย
แต่ที่น่าแปลก คือเรื่องเหล่านี้กลายเป็นจริง อีกทั้งมีมากกว่าหนึ่งกรณี
สาเหตุก็เพราะว่า สมัยก่อนนั้นการตรวจสอบผู้ตายนั้นตายจริงหรือไม่? นั้นไม่ค่อยทันสมัย ทำให้มีการฝังในโลงศพทั้งๆ ที่ผู้ตายคนนั้นแค่ตายชั่วขณะ และนี้คือตัวอย่างของผู้มีประสบการณ์ฝังทั้งเป็นที่ฟื้นคืนชีพในโลงศพที่ถึงฝังในดินอย่างน่าสยดสยอง …
ปี 1851 เวอรจิเนีย เเมคโดเนล (Virginia Macdonald) อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเธอในนิวยอร์กซิตี้ และป่วยตาย เธอถูกนำไปฝังในสุสานกรีนวู๊ด (Greenwood) บรู๊คลิน นิวยอร์ค อเมริกา หลังจากพิธีฝังศพผ่านไป แม่ของเธอกลับบอกคนอื่นว่า เธอเชื่อว่าลูกของเธอไม่ตาย เธอพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนครอบครัวของเธอทนไม่ไหวเลยต้องขุดโลงศพเปิดฝาโลงให้แม่ของเธอหายข้อข้องใจซะ แต่พวกเขากลับพบว่า ศพของเวอจิเนียนั้นยังไม่เน่า เธอคืนชีพในโลง และพยายามตะเกียดตะกายออก แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามทำลายโลง แต่ล้มเหลว และ
ขาดใจตายไปเสียก่อน
ปล. หลังจากนั้นป่าช้าแห่งนี้ได้ถูกย้ายไปที่แห่งใหม่ หลายโรงถูกนำมาตรวจสอบก็พบว่ามีศพหลายศพที่ถูกฝังทั้งเป็นจำนวนมาก
—————————————————-
ข้อมูลจาก : คุณพฤจิกา oknation.net/blog/bigeye2009/2011/01/10/entry-1 , toptenthailand.com/topten/detail/20140709130324587
ภาพจาก : http://smithsonianmag.tumblr.com