ในยุคที่เราทุกคนต้องเผชิญกับฝุ่น แสงแดด และมลภาวะที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ริ้วรอยหรือร่องรอยของความแก่ชราก็เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าปกติ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ แต่การส่องกระจกหรือถ่ายรูปแล้วเห็นเส้นริ้ว รอยพับ หรือร่องแตกลึกบนใบหน้าที่ดูชัดขึ้นทุกวัน ก็อาจจะทำให้ใครหลายคนรู้สึกหมดความมั่นใจเอาได้ง่ายๆ เลย แต่ก่อนที่จะหาทางป้องกันหรือแก้ไข มาลองทำความเข้าใจกันสักนิดว่าริ้วรอยคืออะไร เกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า ไปจนถึงวิธีป้องกันและชะลอไม่ให้ผิวหน้าเกิดริ้วรอยง่ายหรือเร็วเกินไป ใครที่อยากมีผิวหน้าที่เต่งตึง อ่อนเยาว์ แลดูสุขภาพดีสมวัยต้องไม่พลาด กดอ่านบทความนี้เลย
ริ้วรอยคืออะไร
ริ้วรอย (Wrinkles) มีลักษณะเป็นเส้นยาว เป็นรอยพับหรือร่องแตกลึกบริเวณผิวหน้า ริ้วรอยบนใบหน้าสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ มักพบในบริเวณที่ร่างกายโดนแดดเป็นประจำ เช่น ใบหน้า ลำคอ ไปจนถึงบริเวณมือและท่อนแขน และยังเกิดขึ้นได้จากปัจจัยต่างๆ เช่น พันธุกรรม สภาวะแวดล้อม และ พฤติกรรมการใช้ชีวิต อีกหนึ่งสาเหตุหลักคือเมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะสูญเสียความยืดหยุ่น มีการผลิตคอลลาเจนลดลงและสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้ช้าลง นำไปสู่ผิวหนังที่บางลงและเกิดความหย่อนคล้อย ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงกระบวนการแก่ชรานั่นเอง
ริ้วรอยเกิดจากอะไร
1. อายุที่เพิ่มขึ้น
ปัญหาใหญ่ของความสวยความงามคืออายุและความแก่ชราที่มาเยือน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดริ้วรอย โดยผิวหนังของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นผ่านช่วงเวลาต่างๆ ของวัย โดยมีสาเหตุที่เป็นอิทธิพลทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ดังนี้
- การผลิตคอลลาเจนลดลง
คอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยในการพยุงโครงสร้างและเสริมความแข็งแรงให้ผิวหนัง เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนลดลง ส่งผลให้ผิวมีความกระชับลดลงจนเกิดริ้วรอยตามานั่นเอง
- สูญเสียความยืดหยุ่นของผิวหนัง
อีลาสตินเป็นโปรตีนที่จำเป็นในผิวหนังอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยให้ผิวหนังสามารถยืดออกและกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ เส้นใยอีลาสตินของผิวหนังจะอ่อนแอลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น จนผิวหนังเกิดความหย่อนคล้อยและเหี่ยวย่นได้ง่าย โดยเฉพาะในบริเวณที่ต้องสัมผัสกับมลภาวะและสภาพแวดล้อมเป็นประจำ
- ความหนาของผิวหนังลดลง
เมื่ออายุมากขึ้นผิวหนังจะเริ่มบางลงเพราะจำนวนเซลล์ผิวลดลง รวมถึงอัตราการสร้างเซลล์เริ่มช้าลง ผิวที่บางจะเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายมากขึ้นจนอาจเกิดริ้วรอยได้ง่าย รวมถึงผิวที่บางลงยังมีประสิทธิภาพในการกักเก็บความชุ่มชื้นได้น้อยลง จนเกิดความแห้งกร้านและริ้วรอยที่เด่นชัดขึ้นได้
2. ผิวหนังถูกทำลายจากแสงแดด
ผิวหนังที่รับแสงแดดเป็นประจำและเป็นเวลานานเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอย ทำให้โครงสร้างผิวหนังถูกทำลายและยังเร่งกระบวนการชราอีกด้วย
- ความเสียหายจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV)
ดวงอาทิตย์ปล่อยรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งสามารถทะลุผ่านผิวหนังและทำให้เซลล์และโครงสร้างใต้ผิวหนังเสียหายได้ โดยรังสี UV ประเภท UVA จะแทรกซึมลึกเข้าไปในผิวหนัง ก่อให้เกิดความเสียหายในระยะยาว และรังสีประเภท UVB ส่งผลกระทบต่อผิวชั้นนอกเป็นหลัก จากการถูกแดดเผาและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง ซึ่งรังสีทั้ง 2 ประเภทนี้สามารถสร้างความเสียหายให้กับผิวหนังเราได้อย่างรุนแรง ทำให้เกิดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน สร้างความเสียหายกับ DNA และการอักเสบ ซึ่งมีส่วนทำให้เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินสลายตัว ส่งผลให้เกิดริ้วรอยในที่สุด
- การสลายตัวของเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน
คอลลาเจนและอีลาสตินเป็นโปรตีนที่จำเป็นในการรักษาโครงสร้าง ความแข็งแรง และความยืดหยุ่นของผิวหนัง และแสงแดดก็สามารถสลายตัวโปรตีนเหล่านี้ได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า โฟโตเอจจิ้ง (Photoaging) ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่นำไปสู่มะเร็งผิวหนัง รังสี UV ยังทำให้เกิดการกระตุ้นเอนไซม์ที่เรียกว่า matrix metalloproteinases (MMPs) ซึ่งจะทำลายคอลลาเจนและเส้นใยอิลาสติน ทำให้สูญเสียความกระชับและความยืดหยุ่นของผิว เกิดการสลายตัวของโครงสร้างที่รองรับผิวหนัง ส่งผลให้เกิดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยที่ลึกและขยายกว้างขึ้นได้
3. การสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดริ้วรอยและเร่งความชรา เนื่องจากสารเคมีอันตรายในควันบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในหลายมิติ และยังมีผลเสียต่อผิวหนัง ดังนี้
- การไหลเวียนเลือดไปที่ผิวหนังลดลง
การสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปที่ผิวหนังลดลง ทำให้ผิวขาดสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง และยังขัดขวางไม่ให้ผิวซ่อมแซมหรือฟื้นฟูตนเองจากการถูกทำร้ายด้วยปัจจัยและสภาวะแวดล้อมต่างๆ ทำให้ผิวหนังมีโอกาสเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
- ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน
สารเคมีอันตรายในควันบุหรี่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด แต่ยังทำลายคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินของผิวหนังโดยตรงอีกด้วย โดยการสูบบุหรี่จะทำลายโปรตีนสองตัวดังกล่าวจากปฏิกิริยาออกซิเดชันและการปล่อยอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังจะสูญเสียความกระชับและความยืดหยุ่นไป นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังเพิ่มการผลิตเอ็นไซม์บางชนิดที่ย่อยสลายคอลลาเจน ทำให้ไปเร่งกระบวนการแก่ชราให้รุนแรงขึ้น ผลที่ตามมาคือเมื่อเทียบกับคนที่ไม่สูบบุหรี่แล้ว คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำมักมีริ้วรอยและดูแก่กว่าวัยอย่างเห็นได้ชัด
4. ปัจจัยอื่นๆ
นอกจากปัจจัยเรื่องอายุที่เพิ่มขึ้น แสงแดด และการสูบบุหรี่แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถผลกระทบต่อสุขภาพผิว ทำให้แก่เร็วขึ้นและมีรอยย่นก่อนวัยอันควรได้ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ โภชนาการ การขาดน้ำ และการอดนอน
- มลพิษ
มลพิษทางอากาศในแต่ละวันมีผลกระทบโดยตรงต่อผิวหนัง โดยการเข้าไปทำลายโปรตีนอย่างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวหนังสูญเสียความกระชับและความยืดหยุ่น รวมถึงยังเข้าไปอุดตันรูขุมขนและขัดขวางกระบวนการซ่อมแซมของผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอยได้นั่นเอง
- โภชนาการที่ไม่ดี
หนึ่งในการดูแลผิวให้มีสุขภาพดีจากภายใน คือการรับประทานอาหารตามโภชนาการอาหารหลัก 5 หมู่ให้สมดุลมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน คาร์บโบไฮเดรต ไขมันดี วิตามินและแร่ธาตุจากผัก ผลไม้ และธัญพืช เพื่อให้สารอาหารที่มีความจำเป็นและประโยชน์ต่างๆ ต่อร่างกายได้เข้าไปช่วยสร้างเซลล์ผิวใหม่และช่วยในการผลิตคอลลาเจน ในขณะเดียวกันก็ควรงดการบริโภคอาหารแปรรูป น้ำตาล และไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะหากรับประทานในปริมาณมากจะทำให้เกิดการอักเสบ ความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน และการสลายตัวของคอลลาเจนได้ ซึ่งจะส่งผลให้ผิวพรรณและใบหน้าดูแก่ก่อนวัยและเกิดริ้วรอยได้ง่ายยิ่งขึ้น
- การขาดน้ำ
หากอยากให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น นุ่มเด้งอิ่มน้ำ ดูอ่อนเยาว์ ควรสะสมความชุ่มชื้นให้ร่างกายอยู่เสมอ แต่การขาดน้ำหรือดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ผิวขาดน้ำ ดูหมองคล้ำ แห้งกร้าน จนเกิดริ้วรอยที่เด่นชัดขึ้นได้
- การอดนอน
เวลานอนหลับจะเป็นช่วงที่ร่างกายเข้าสู่กระบวนการซ่อมแซมและฟื้นฟู ตั้งแต่ระบบสมอง อวัยวะ กล้ามเนื้อ รวมถึงผิวหนังด้วย การอดนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอจึงเป็นพฤติกรรมที่ขัดขวางกระบวนการซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกาย ทำให้ผิวหนังไม่สามารถสร้างเซลล์ใหม่หรือซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้เกิดริ้วรอยและบ่อเกิดสัญญาณอื่นๆ ของวัยชราได้
3 วิธีป้องกันการเกิดริ้วรอยบนใบหน้า
เมื่อรู้แล้วว่าริ้วรอยบนผิวหนังเกิดจากอะไร ขั้นตอนถัดมาคือการดูแลตัวเองเบื้องต้น มาดู 3 วิธีที่ช่วยป้องกันและชะลอการเกิดริ้วรอยบนใบหน้า และคงความอ่อนเยาว์ให้อยู่กับเราได้นานที่สุด!
1. ป้องกันตัวเองจากแสงแดดและรังสียูวี
รังสี UV ของดวงอาทิตย์เป็นอันตรายต่อผิวและร่างกายคนเราเป็นอย่างมาก ในแต่ละวันจึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและรังสี UV ให้ได้มากที่สุด เพื่อรักษาสุขภาพผิวไม่ให้เกิดริ้วรอยและป้องกันสัญญาณแก่ก่อนวัยด้วยวิธีพื้นฐานง่ายๆ ดังนี้
- ทาครีมกันแดด การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 เป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องผิวจากทั้งรังสี UVA และ UVB ควรทาครีมกันแดดให้ทั่วบริเวณอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงเวลากลางวันที่มีแสงแดดจ้า ช่วงเวลาก่อนเข้าทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่างเช่น ว่ายน้ำ หรือกิจกรรมที่มีเหงื่อออกมาก รวมไปถึงการทาครีมมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มี SPF ในตัวเป็นประจำทุกวันที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและยังป้องกันการสัมผัสแสงแดดและรังสี UV โดยไม่ได้ตั้งใจได้อีกช่วย
- สวมเสื้อผ้ามิดชิด ในวันที่ต้องเดินทางหรือออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง การสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนัง เช่น เสื้อแขนยาว หมวกปีกกว้าง และแว่นกันแดด จะช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดดและรังสี UV จากดวงอาทิตย์ไม่ให้สัมผัสโดนผิวหนังโดยตรง ช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากแสงแดด เช่น โรคมะเร็งผิวหนังและโรคฝ้าได้อีกชั้น
- หาที่ร่มหรือที่กำบังแสงแดด ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องโดนแสงแดดแรงตรงๆ โดยพยายามหาที่กำบัง เช่น ใต้ร่มไม้ หลบใต้ชายคาหรืออาคาร เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสัมผัสแสงแดดและรังสี UV ให้ได้มากที่สุด
2. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
หากจะรักษาสุขภาพและลดปัญหาริ้วรอยให้เห็นผลอย่างยั่งยืน ควรเริ่มต้นจากภายในอย่างพฤติกรรมและการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถเริ่มทำได้ทันที แต่ต้องอาศัยวินัยและความอดทน มั่นใจได้เลยว่าหากปรับพฤติกรรมดังต่อไปนี้ ไม่เพียงแต่จะชะลอและลดการเกิดริ้วรอยเท่านั้น แต่ยังทำให้มีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย
- เลิกสูบบุหรี่ อย่างที่ได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าการสูบบุหรี่มีผลเสียต่อโครงสร้างผิวหนังและทำลายสุขภาพอย่างร้ายแรง การเลิกสูบบุหรี่จะทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ช่วยเสริมกระบวนการซ่อมแซมของผิวหนัง และลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้
- ทานอาหารให้ครบถ้วน การทานอาหารให้ครบถ้วนและหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนไม่ติดมัน และไขมันดี จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารดีๆ ไปซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวหนัง เสริมการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกาย รวมไปถึงการดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้เซลล์ต่างๆ ก็จะยิ่งช่วยชะลอความชราและริ้วรอยก่อนไวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ส่งสารอาหารที่จำเป็นและออกซิเจนไปยังผิว และสนับสนุนการผลิตคอลลาเจน ช่วยลดความเครียดซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวและก่อให้เกิดริ้วรอยได้
- การนอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับอย่างมีคุณภาพอย่างน้อย 7-9 ชั่วโมงต่อวันจะช่วยลดการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี เพราะระหว่างการนอนหลับ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth hormone) ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ
3. ดูแลและเสริมความแข็งแกร่งให้ผิว
อีกวิธีที่จะช่วยลดการเกิดริ้วรอยก็คือการดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี เพราะในแต่ละวันที่ต้องออกไปเผชิญกับแสงแดดและมลภาวะ รวมถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่จะทำให้ผิวหน้าต้องสัมผัสกับความสกปรกและสิ่งปนเปื้อน เกิดความระคายเคืองไปจนถึงสร้างปัญหาต่างๆ ให้ผิวได้ในระยะยาวด้วย
- ล้างหน้าเป็นประจำ การล้างหน้าเป็นขั้นตอนพื้นฐานของการดูแลผิวที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อขจัดสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง ความมันส่วนเกิน และมลภาวะจากสิ่งแวดล้อมออกจากผิวหน้าให้หมดจด ป้องกันรูขุมขนอุดตันและลดความเสี่ยงของการอักเสบ โดยควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้งเพื่อรักษาความสะอาดและความชุ่มชื้น และเลือกคลีนเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวหน้า
- การขัดผิว การขัดผิวช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ช่วยให้มีการผลัดเซลล์ใหม่ เผยผิวที่สดใสและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น การขัดผิวเป็นประจำยังเสริมการผลิตคอลลาเจนและปรับปรุงผิวหน้าให้เรียบเนียน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ขัดผิวแบบอ่อนโยนที่เหมาะกับสภาพผิว หลีกเลี่ยงการใช้เม็ดสครับเพื่อป้องกันผิวหน้าถูกทำลายจนเกิดริ้วรอยและเป็นอันตรายกับสิ่งแวดล้อม สามารถขัดผิวหน้าได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ไม่ควรขัดผิวบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองและทำลายเกราะป้องกันผิวได้
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว การใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวเป็นประจำจะช่วยล็อกความชุ่มชื้นให้ผิวและส่งเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีกรดไฮยาลูโรนิก ฟื้นฟูผิวแห้งกร้านให้กลับมาดูเปล่งปลั่งอิ่มน้ำ ที่สำคัญยังช่วยป้องกันภาวะผิวแห้ง ลดอาการคันระคายเคือง และผิวลอกได้
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) มีบทบาทสำคัญในการปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ (Free radicals) ในร่างกาย ที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันและทำให้เซลล์เสียหาย ซึ่งอนุมูลอิสระเกิดขึ้นจากความเครียด กระบวนการเผาผลาญ และสารพิษตกค้างในร่างกาย การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เซรั่มหรือครีมที่มีวิตามินซีและวิตามินอี เป็นประจำ จะช่วยป้องกันการสลายตัวของคอลลาเจน ลดการอักเสบ และขับผิวให้กระจ่างใสอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น
- ใช้ครีมลดเลือนริ้วรอย การใช้ครีมลดเลือนริ้วรอยที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ เปปไทด์ หรือกรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHAs) จะช่วยลดเลือนริ้วรอยและสัญญาณอื่นๆ ของวัยได้ เพราะมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างและเพิ่มความแข็งแรงให้คอลลาเจนและอิลาสติน ช่วยปรับผิวหน้าให้ดูเรียบเนียน ลดเลือนเส้นริ้วและรอยเหี่ยวย่น นอกจากนี้ ยังช่วยบรรเทาเรื่องจุดด่างดำ ความหมองคล้ำและผิวหน้าที่ขาดความชุ่มชื้นอีกด้วย
ถึงแม้ว่าริ้วรอยจะเป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามช่วงวัย แต่ก็เป็นปัญหาที่สร้างความกังวลให้กับใครหลายๆ คนได้เช่นเดียวกัน เพราะริ้วรอยที่ปรากฎบนใบหน้าก่อนเวลาอันควรนั้นเป็นสิ่งที่บั่นทอนความมั่นใจ และเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณอาจจะดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองไม่ดีพอ ดังนั้น ท่ามกลางการใช้ชีวิตอย่างเคร่งเครียดและเร่งรีบในยุคนี้ การหันกลับมาใส่ใจในเรื่องของการดูแลความสะอาด อาหารการกิน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง รวมไปถึงการใช้ตัวช่วย อย่างสกินแคร์คุณภาพและครีมลดเลือนริ้วรอยเป็นประจำ ก็จะช่วยให้คุณสามารถรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น