กลอน บุพเพสันนิวาส หมื่นสุนทรเทวา แม่หญิงการะเกด แม่หญิงจันทร์วาด โคลง

ไพเราะ งดงาม เปิดความหมายโคลง-กลอน อีกหนึ่งฉากสุดละมุน ในละครบุพเพสันนิวาส

Home / สาระความรู้ / ไพเราะ งดงาม เปิดความหมายโคลง-กลอน อีกหนึ่งฉากสุดละมุน ในละครบุพเพสันนิวาส

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งฉากที่มีความละเมียดละไม น่าติดตามเป็นที่สุด สำหรับฉากการแต่งโคลง-กลอน ประชันกันใต้แสงพระจันทร์อันงดงามของคุณพี่หมื่นสุนทรเทวา แม่หญิงการะเกด และแม่หญิงจันทร์วาด ในละครสุดโด่งดังที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดในตอนนี้ “บุพเพสันนิวาส” โดยหลังจากที่ฉากนี้ได้ออนแอร์ออกมาให้แฟนๆ ได้ชมกันนั้น ก็ไม่ทำให้แฟนๆ ละครต้องผิดหวังกันเลย ทำให้ผู้ชมเคลิบเคลิ้มไปในบทโคลง-กลอนที่มีความไพเราะน่าฟังและความโรแมนติกของบรรยากาศในยามค่ำคืนที่งดงาม เรียกเสียงชื่นชมจากแฟนๆ ได้อย่างมากมายเลยทีเดียว

ความหมาย โคลง-กลอน บุพเพสันนิวาส

แต่สำหรับแฟนๆ ละครคนไหน ที่กำลังงงอยู่ว่าในโคลง-กลอนของคุณพี่หมื่นสุนทรเทวา แม่หญิงการะเกด และแม่หญิงจันทร์วาด มีความหมายว่าอย่างไรกันบ้าง ในบทความ แคมปัส-สตาร์ ได้หาคำตอบมาให้กันแล้วจ๊ะ บอกได้เลยว่าแต่ละโคลง-กลอน มีความหมายที่ไพเราะมากๆ ตามมาดูกันเลย…

แม่หญิงจันทร์วาด

โคลง แม่หญิงจันทร์วาด

ตะวันลับเหลี่ยมเจ้า   เจียมจันทร์

แสงบ่เรืองกระสัน   สู่ฟ้า

เมฆลอยบังพลัน   สุดส่อง

คิดจึ่งเจียมตัวข้า   ต่ำต้อยเทียมดิน

คำแปล : พระอาทิตย์ลับฟ้า จันทร์แทนที่ ฟ้ามืดไร้แสงแล้ว ยิ่งเมฆบังแล้วหมดโอกาสที่จะเห็นแสงจันทร์ คิดแล้วข้าเจียมตัวว่าอยู่บนดิน คงไม่มีโอกาสชมแสงจันทร์

คุณพี่หมื่นสุนทรเทวา

โคลง หมื่นสุนทรเทวา

ตะวันลับเหลี่ยมเจ้า   เมฆบัง

นกส่งเสียงยังรัง   แซ่ซ้อง

จันทร์ฤาแลหลัง   ถึงเมฆ

ดาวจึ่งเจียมจิตป้อง   ไป่สู้เทียมจันทร์

คำแปล : ตะวันลับฟ้าไป นกส่งเสียงกลับรังดังระงม จันทร์นั้นอยู่หลังเมฆบัง ดาวจะพยายามไปอยู่คู่ดวงจันทร์ให้ได้

แม่หญิงการะเกด

กลอนหก แม่หญิงการะเกด

(กนกนคร พระนิพนธ์ น.ม.ส. )

หาแถงแง่ฟ้าหาง่าย   เบื่อหน่ายบงนักพักตร์ผิน

หาเดือนเพื่อนเถินเดินดิน   คือนิลนัยนาหาดาย

เพ็ญเดือนเพื่อนดินสิ้นหา   เพ็ญเดือนเลื่อนฟ้าหาง่าย

เดือนเดินแดนดินนิลพราย   เดือนฉายเวหาสปราศนิล

คำแปล : พระจันทร์บนฟ้า เงยหน้ามองก็เจอ หาง่ายจะตาย เบื่อจะมองแล้ว แต่คนตาสวยดุจนิล เสมือนดวงจันทร์บนดินสิหายาก ไม่ต้องไปหาเลย คงมีแค่เพียงคนเดียว แม้แต่จันทร์บนฟ้ายังตาสวยไม่เท่าเดือนบนดินเลย คือนางนั้นเองที่ตาสวยกว่าจันทร์

บุพเพสันนิวาส

สาระน่ารู้ส่งท้าย

ฉันทลักษณ์

ฉันทลักษณ์ (กวีนิพนธ์ไทย) หมายถึง ลักษณะบังคับของคำประพันธ์ไทย ซึ่งกำชัย ทองหล่อ ได้ให้ความหมายไว้ว่า ฉันทลักษณ์ คือตำราที่ว่าด้วยวิธีร้อยกรองถ้อยคำหรือเรียบเรียงถ้อยคำให้เป็นระเบียบตามลักษณะบังคับและบัญญัติที่นักปราชญ์ได้ว่างเป็นแบบไว้ ถ้อยคำที่ร้อยกรองขึ้นตามลักษณะบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์ เรียกว่า คำประพันธ์ และได้ให้ความหมายของคำประพันธ์ คือถ้อยคำที่ได้ร้อยกรองหรือเรียบเรียงขึ้น

โดยมีข้อบังคับจำกัดคำและวรรคตอนให้รับสัมผัสกัน ไพเราะ ตามกฎเกณฑ์ที่ได้วางไว้ในฉันทลักษณ์ โดยแบ่งเป็น 7 ชนิด คือ โคลง ร่าย ลิลิต กลอน กาพย์ ฉันท์ กล ซึ่งก็คือร้อยกรองไทย นั่นเอง

ร้อยกรองไทยมีความหมาย 2 นัย นัยหนึ่งหมายถึงการแต่งหนังสือดีให้มีความไพเราะ อีกนัยหนึ่งหมายถึงถ้อยคำที่เรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามบทบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์ ทั้งนี้ยังมีอีกหลายคำที่มีความหมายทำนองเดียวกัน เช่น กวีนิพนธ์ บทกวี บทประพันธ์ กวีวัจนะ ลำนำ บทกลอน กาพย์กลอน กลอนกานต์ กานต์ รวมทั้งคำว่าฉันท์ กาพย์ และกลอนด้วย

โคลง

โดยที่ โคลง เป็นคำประพันธ์ที่บังคับวรรณยุกต์ คือ เอก โท และบังคับสัมผัส มีหลักฐานอันควรเชื่อว่าเป็นคำประพันธ์พื้นเมืองไทยทางเหนือและอีสานก่อนจะแพร่หลายมายังภาคกลาง และโคลงในวรรณคดีไทยได้ถูกจำแนกออกเป็นดังนี้

1. โคลงสอง

  • โคลงสองสุภาพ
  • โคลงสองดั้น

2. โคลงสาม

  • โคลงสามสุภาพ
  • โคลงสามดั้น

3. โคลงสี่

  • โคลงสี่สุภาพ
  • โคลงสี่ดั้น

4. โคลงห้า

บุพเพสันนิวาส

กลอน

กลอน เป็นลักษณะคำประพันธ์ไทยที่ฉันทลักษณ์ประกอบด้วยลักษณะบังคับ 3 ประการคือ คณะ จำนวนคำ และสัมผัส ไม่มีบังคับเอกโทและครุลหุ เชื่อกันว่าเป็นคำประพันธ์ท้องถิ่นของไทยแถบภาคกลางและภาคใต้ โดยได้ถูกจำแนกออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1. กลอนจำแนกตามฉันทลักษณ์ สามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่

1.1 จำแนกตามจำนวนคำ จะแบ่งได้ 2 ชนิด คือ

  • กลอนกำหนดจำนวนคำเท่ากันทุกวรรค (กลอนสุภาพ) ได้แก่ กลอนสี่ กลอนหก กลอนเจ็ด กลอนแปด และกลอนเก้า
  • กลอนกำหนดจำนวนคำในวรรคโดยประมาณ ได้แก่ กลอนดอกสร้อย กลอนสักวา กลอนเสภา กลอนบทละคร กลอนนิราศ กลอนเพลงยาว กลอนนิทาน และกลอนชาวบ้าน

1.2 จำแนกตามคำขึ้นต้น จะแบ่งได้ 2 ชนิดคือ

  • กลอนบังคับคำขึ้นต้น ได้แก่ กลอนดอกสร้อย กลอนสักวา กลอนเสภาและกลอนบทละคร
  • กลอนไม่บังคับคำขึ้นต้น ได้แก่ กลอนสี่ กลอนหก กลอนเจ็ด กลอนแปด กลอนเก้า กลอนนิราศ กลอนนิทาน และกลอนเพลงยาว

1.3 จำแนกตามคณะ จะแบ่งได้ 2 ชนิดคือ

  • กลอนไม่ส่งสัมผัสระหว่างคณะ ได้แก่ กลอนดอกสร้อย และกลอนสักวา
  • กลอนส่งสัมผัสระหว่างคณะ ได้แก่ กลอนบทละคร กลอนเสภา กลอนนิทาน กลอนนิราศ กลอนเพลงยาว กลอนสี่ กลอนหก กลอนเจ็ด กลอนแปด และกลอนเก้า

1.4 จำแนกตามบทขึ้นต้น จะแบ่งได้ 2 ชนิดคือ

  • กลอนบังคับบทขึ้นต้นเต็มบท (4 วรรค) ได้แก่ กลอนสี่ กลอนหก กลอนเจ็ด กลอนแปด กลอนเก้า กลอนดอกสร้อย กลอนสักวา กลอนเสภา และกลอนบทละคร
  • กลอนบังคับบทขึ้นต้นไม่เต็มบท (3 วรรค) ได้แก่ กลอนนิราศ กลอนเพลงยาว และกลอนนิทาน

1.5 จำแนกตามการส่งสัมผัส จะแบ่งได้ 2 ชนิดคือ

  • กลอนส่งสัมผัสแบบกลอนสุภาพ ได้แก่ กลอนสี่ กลอนหก กลอนเจ็ด กลอนแปด กลอนเก้า กลอนดอกสร้อย กลอนสักวา กลอนเสภา กลอนนิทาน กลอนนิราศ กลอนเพลงยาว และกลอนบทละคร
  • กลอนส่งสัมผัสแบบกลอนชาวบ้าน ได้แก่ กลอนส่งสัมผัสแบบกลอนสังขลิกคือ กลอนในบทร้องเล่นของเด็ก และกลอนส่งสัมผัสแบบกลอนหัวเดียวคือ กลอนเพลงชาวบ้าน เช่น เพลงเรือ ลำตัด เพลงอีแซว เป็นต้น

(กลอนสังขลิกและกลอนหัวเดียว ปรากกฎเฉพาะในร้อยกรองมุขปาฐะ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กลอนชาวบ้าน)

2. กลอนจำแนกตามวัตถุประสงค์การนำไปใช้ แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

2.1 กลอนอ่าน เป็นกลอนที่ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายแต่งไว้สำหรับอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน แบ่งเป็น 8 ชนิด ได้แก่ กลอนนิราศ กลอนเพลงยาว กลอนนิทาน กลอนสี่ กลอนหก กลอนเจ็ด กลอนแปด และกลอนเก้า

2.2 กลอนร้อง เป็นกลอนที่แต่งขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายสำหรับการขับโต้ตอบกัน การขับลำนำเพื่อความไพเราะ และการขับร้องประกอบการแสดงเพื่อความบันเทิง แบ่งเป็น 5 ชนิด ได้แก่ กลอนดอกสร้อย กลอนสักวา กลอนเสภา กลอนบทละคร และกลอนเพลงชาวบ้าน

เบลล่า แฮปปี้ บุพเพสันนิวาส เรตติ้งพุ่ง ไม่ซี! ถูกโยงข่าวอักษรย่อ

บทความที่น่าสนใจ

ข้อมูลและภาพจาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีpantip.comhttps://mello.me