คำว่า “เบญจเพส” ควรสะกดด้วย ส.เสือ มาจากคำว่า “เบญจะ ปัญจะ” คือ ห้า กับคำว่า “วีส วีสะ หรือ วีสติ”คือ ยี่สิบ รวมแล้วหมายถึง ยี่สิบห้า ความจริงแล้ว ที่โบราณเชื่อว่า อายุเบญจเพส คืออายุย่าง 25 ปี นั้น เป็นความเห็นที่ถูกบางส่วน แต่วัยเบญจเพสที่บอกกันมาไม่ใคร่จะตรงกัน
เบญจเพส คืออะไร
หมอดูหลายคน มักคุ้นเคยกับคำว่าเบญจเพส และ บางคนที่คุ้นกับธรรมเนียมไทยโบราณ จะจำสับสนกัน หมอดูรุ่นเก่าบางคนจึงบอกว่า เบญจเพส นั้นคือ อายุ 25 35 45 55 65 75………ที่ลงท้ายด้วยเลข 5 ทั้งหมด
ที่นับจาก 25 ใครมีอายุเป็นเบญจเพส จึงไม่ใคร่จะดี ยมบาลท่านจะตรวจเช็คกรรมดี กรรมเลวที่กระทำในรอบที่ผ่านมา ว่าจะให้ขึ้นอายุใหม่คือ 26 36 46 ……ไปหรือไม่
บางคนก็สอบผ่าน บางคนก็สอบไม่ผ่าน ที่สอบผ่านก็อาจจะให้ใช้กรรมบางส่วน
ดังนั้น คนโบราณจึงไม่อยากให้ใครทำอะไรในช่วงเบญจเพส เพราะกำลังดวงไม่ดี ง่อนแง่น เหมือนคนกำลังถูกตรวจสอบ ดูหนังสือมาดี พอดีพอร้ายไปทำผิดศีลธรรมเข้าโดยไม่ตั้งใจ อาจถูกปรับให้สอบตกก็ได้ คตินี้ดูน่าหัวเราะ แต่อย่าลบหลู่นะ เพราะที่มาของคตินี้ไม่ใช่โหราศาสตร์
โหราศาสตร์นั้นกลับถือ เรื่อง อายุเบญจเพส หรือ วัยเบญจเพส หรือ พูดแบบสมัยใหม่ต้องว่า อนุกรมเบญจเพส คือ อายุย่าง 13 25 37 49 61………..บวกด้วย 12 ไปเรื่อยๆ ที่มาของอนุกรมชุดนี้คือ วงรอบธรรมชาติของธาตุที่เกิดจากดวงอาทิตย์ และ พฤหัส นั่นเอง
เมื่อเราเกิดมานั้น โครงสร้างธาตุในดวงชะตาเดิม (ดวงกำเนิด) จะเป็นแบบพิมพ์เขียวอย่างหนึ่งที่กำหนดความเป็นไปของธาตุเอาไว้ ดวงดาวต่างๆมีหน้าที่ส่งธาตุลงมาประจุให้เต็มตามตำแหน่งที่ดวงเดิมระบุ ซึ่งกว่าจะรับเต็มได้ ต้องใช้เวลาถึง 60 ปี
ระหว่างที่ธาตุยังไม่เต็มนี้ คนเราจะได้รับธาตุส่วนมากจากธรณี เพราะเราอยู่บนโลก และโลกก็หมุนเวียนธาตุมานานแล้วก่อนเราเกิด ธาตุในธรณีกับธาตุในจักรวาลจะมีเสป็คต่างกันอยู่บ้าง คล้ายกับ วัตถุดิบในประเทศ กับ วัตถุดิบนอกประเทศอย่างนั้นแหละ ธาตุในธรณีเป็นธาตุที่เรานำมาใช้ในดวงชะตาได้ ก่อนที่จะได้รับธาตุจากจักรวาล ทีนี้เป็นอันตัดคำถามที่ว่า หากธาตุยังไม่เต็มก่อนอายุ 60 ปี แล้วเราไม่ตายก่อนหรือ
ธาตุในธรณี ที่มักนำมาใช้ในวิชาธาตุ
คือพวก มหาทักษา อังควิชาธาตุ วีสตรี หรือ บางวิชาจะมี อนุกรมธาตุบางอย่างที่ปกปิดกันอยู่ ดังนั้น เราจึงพบว่า เรามักทายดวงเดิมแม่นหน่อย เช่น หากใช้ทักษาเดิม เพราะมาจากธาตุในธรณี ธาตุที่เข้ามาจัดตัวในดวงชะตาจะถูกเติมเต็มเข้ามาโดยเกษตรธาตุ และธาตุดาวจากจักรวาล ซึ่งต้นตอก็มาจาก ดวงอาทิตย์นั่นเอง
ดวงอาทิตย์โคจรปีละ 12 ราศี จะให้ธาตุลงมาป้อนดวงชะตา ในหนึ่งปี แต่ที่สำคัญ คือ พฤหัส เพราะพฤหัส รับทั้งธาตุจากอาทิตย์ และยัง สะสมธาตุจากดาวฤกษ์ด้วย ดังนั้น จึงมีโหราศาสตร์ที่สร้างขึ้นจากพฤหัสมากหลายระบบ พฤหัสนี่เอง ที่โคจรปีละ หนึ่งราศี รวม 12 ปีจะครบจักรราศี 5 รอบจักรราศี เป็นหนึ่งพฤหัสจักร หรือ หนึ่งยุคพฤหัส 60 ปี
ดังนั้นรอบจักรราศี 12 ปีจึงมีความสำคัญต่อระบบธาตุ
เมื่อคนเราเกิดมา ในรอบ 12 ปีแรก ธาตุดาวหลายอย่างยังลงมาจากจักรวาลได้ไม่ครบ ต้องยืมธาตุในธรณีใช้ไปก่อน เมื่อครบรอบ 12 ปี แล้วขึ้นรอบธาตุต่อไป คือ อายุ 13 ปี ระบบธาตุจะมีการจัดตัว เพื่อรับธาตุในรอบใหม่อีกครั้ง เลข 13 ซึ่งหลายชาติถือเป็นเลข ไม่ดี นั้น จึงเป็นเลขที่มีมานานก่อนสมัยคริสตกาลเสียอีก ดังนั้น อายุเบญจเพสจึง เป็นเลข 13 แต่ว่า ตอนอายุ 13 ปีนี้ ในเมื่อธาตุในจักรวาลเองก็ยังลงมาเป็นส่วนน้อย จึงไม่ใคร่จะเป็นปัญหามากนัก พูดง่ายๆ เหมือนกับย้ายบ้านใหม่ยังรกๆอยู่ ธาตุมักปรับตัวอยู่แล้ว และอารมณ์ เด็กจะเข้าวัยรุ่น ทำให้เพี้ยนๆไปบ้าง ก็ไม่ผิดสังเกตุ แต่พอครบรอบ 24 ปี ธาตุในจักรวาลจะส่ง พลังงานธาตุ มาให้ครบก่อนแล้ว
เมื่อเริ่มอายุ 25 ปี เกิดการจัดระบบธาตุรอบใหม่
จึงทำให้ป่วนรุนแรง นี่คือวัย เบญจเพส 25 ปีที่ทุกคนมักสังเกตเห็น และแรงที่สุดในอนุกรมอายุ เบญจเพส เพราะเป็นการจัดใหญ่ครั้งแรกในชีวิต มีผลต่อชีวิต ร่างกาย และจิตใจหลายประการ ส่วนเบญจเพสอื่นที่ตามมานั้น แม้จะมีการจัดระบบธาตุ ก็จะไม่รุนแรงเท่า เพราะ ธาตุมีการจัดระบบเป็นระยะๆ ไปตลอดอยู่แล้ว แล้วจะมาจบ ตอนอายุ 61 เพราะเป็นการครบรอบพฤหัสจักร หรือ ยุคพฤหัส จะขึ้นรอบธาตุดาวฤกษ์ใหม่อีกครั้ง คนเขาจึงถือโอกาสจัดแซยิด ตอนอายุ เต็ม 60 ขึ้น อายุ 61 ถือเป็นเคล็ดการเกิดใหม่ ป้องกันความไม่ดีไปด้วยเหมือนกับตายแล้ว
อายุ เบญจเพส จึงเป็น 13 25 37 49 61 ……. ไปเรื่อย ระหว่างอายุเบญจเพส 25 ปี เมื่อธาตุจัดตัวนั้น โครงสร้างธาตุจะแปรโครงสร้าง จากโครงสร้างหนึ่ง ไปยังอีกโครงสร้างหนึ่ง โดยรวดเร็วกว่าวัยเบญจเพสอื่น เนื่องจาก พลังงานธาตุเพิ่งประจุเต็ม เหมือนเพิ่งชาร์จไฟจบใหม่ๆ การเปลี่ยนโครงสร้าง จะสมมุติว่า เดิมเปลี่ยนจาก A ไปเป็น F นั้น จะต้องผ่านโครงสร้าง B C D E
ดังนั้น หากในดวงชะตา มีรูปที่อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนโครงสร้าง คือ B C D E อันใดก็ตาม อันนี้จะไม่ปรากฏโดยตรงในดวงชะตาเดิม จึงปรากฏเรื่อง ดี หรือ ไม่ดี โดยที่ดูดวงตรงๆไม่ออก ต้องคนที่เข้าใจวิธีจึงจะรู้ แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องไม่ดี เพราะการจัดธาตุทำให้พลังงานและธาตุแปรปรวน แต่ก็มีที่ถูกรางวัลที่หนึ่งได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นในดวงชะตา
นี่เองจึงเป็นปัญหาของวัยเบญจเพส ทำให้ต้องระวัง
เพราะช่วงนั้นเหมือนเป็นการต่อเชือกในกระแสน้ำเชี่ยว ทำให้การระวังป้องกันของชะตาอ่อนกำลังลง ในทุกวัยของอนุกรม เบญจเพส ระบบธาตุ เมื่อถูกป่วน อาจทำให้มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น แต่คนส่วนมากไม่รู้ว่า แม้ไม่ใช่วัยเบญจเพส หากมีปฏิกิริยาต่อโครงสร้างธาตุอย่างรุนแรง ก็จะมีเหตุใหญ่เกิดขึ้นได้ ซึ่งต้องพิจารณาในการทำนายจรทั่วไป ต่างกันที่ว่า วัยเบญจเพสนั้น มีการป่วนได้เอง โดยไม่เกี่ยวกับดาวจรเลย เพราะเป็นเหตุที่เกิดตามธรรมชาติอยู่แล้ว ถือเป็นจุดสำคัญในวงรอบธรรมชาติอย่างหนึ่ง
เวลานับตำแหน่งในดวงชะตาครบหนึ่งรอบ มักจะทดกระโดดข้ามไปหนึ่งราศี เพื่อให้ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้น การดูดวงที่อยู่ในเบญจเพส จึงมักทายยาก ส่วนมากมักเตือนกันไม่ให้ทำอะไรหวือหวา หรือ ทำอะไรที่สำคัญ เช่น แต่งงาน คล้ายกับว่าในขณะนั้นดวงชะตาถูกดัดแปลงไป เพราะโครงสร้างธาตุกำลังอยู่ในระหว่างจัดตัวใหม่ เหมือนกลายเป็นอีกดวงชะตาหนึ่ง แต่ถ้าได้ข้อมูลของวัยเบญจเพสนี้มาละเอียดหน่อย จะมีประโยชน์มากในการเข้าใจดวงชะตา และการสร้างวิชาโหราศาสตร์ เพราะการเปลี่ยนโครงสร้างนั้น แสดงความเป็นไปจริงๆตามธรรมชาติ เหมือนกับเราทำการวิจัยดวงอาทิตย์ ในขณะที่มีจุดดับธรรมชาติในดวงอาทิตย์เกิดขึ้น อะไรทำนองนั้น
เครดิตภาพ: pinterest