กรมทรัพย์สินทางปัญญา ลิขสิทธิ์

ความรู้เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ | ผลงานที่ไม่ถือว่ามีลิขสิทธิ์ การคุ้มครอง

Home / สาระความรู้ / ความรู้เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ | ผลงานที่ไม่ถือว่ามีลิขสิทธิ์ การคุ้มครอง

ลิขสิทธิ์ หมายถึง “สิทธิแต่เพียงผู้เดียวของผู้สร้างสรรค์งาน ที่จะกระทำการใดๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น โดยการแสดงออกตามประเภทงานลิขสิทธิ์ต่างๆ”

ความรู้เกี่ยวกับลิขสิทธิ์

ลิขสิทธิ์ เป็นผลงานที่เกิดจากการใช้สติปัญญาความรู้ความสามารถ และความวิริยะอุตสาหะสร้างสรรค์งานขึ้น ซึ่งถือว่าเป็น “ทรัพย์สินทางปัญญา” ประเภทหนึ่งที่มีค่าทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเจ้าของผลงานลิขสิทธิ์ จึงควรได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย

ลิขสิทธิ์ เป็นทรัพย์สินที่สามารถซื้อ ขาย โอนสิทธ์ กันได้ ทั้งทางมรดก หรือโดยวิธีอื่นๆ การโอนลิขสิทธิ์ควรที่จะทำเป็นลายลักษณ์อักษร หรือทำเป็นสัญญาให้ชัดเจ็น จะโอนสิทธ์ทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้

งานสร้างสรรค์ที่มีลิขสิทธิ์

ลิขสิทธิ์จะมีได้ในงานต่างๆ 9 ประเภท คือ

1. งานวรรณกรรม เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ ปาฐกถา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

2. งานนาฏกรรม ได้แก่ งานเกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราว การแสดงโดยวิธีใบ้

3. งานศิลปกรรม ได้แก่ งานจิตกรรม งานปติมากรรม งานภาพพิมพ์ งานสถาปัตยกรรม งานภาพถ่าย ภาพประกอบ แผนที่โครงสร้าง งานศิลปประยุกต์ และรวมทั้งภาพถ่ายและแผนผังของงานดังกล่าวด้วย

4. งานดนตรีกรรม หมายถึง งานที่เกี่ยวกับเพลง ทำนองและเนื้อร้อง หรือทำนองอย่างเดียว และรวมถึงโน๊ตเพลงที่ได้แยกและเรียบเรียงเสียงประสานแล้ว

5. งานโสตทัศนวัสดุ เช่น วิดีโอเทป แผ่นเลเซอร์ดิสก์

6. งานภาพยนตร์

7. งานสิ่งบันทึกเสียง เช่น เทปเพลง แผ่นคอมแพ็คดิสก์

8. งานแพร่เสียงและภาพ เช่น งานที่นำออกเผยแพร่ทางวิทยุกระจายเสียงหรือโทรทัศน์

9. งานอื่นใดอันเป็นงานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ

ผลงานที่ไม่ถือว่ามีลิขสิทธิ์

ผลงานต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์

1. ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร อันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศีลปะ

2. รัฐธรรมนูญ และกฏหมาย

3. ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรมหน่วยงานของรัฐ หรือของท้องถิ่น

4. คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัยและรายงานของทางราชการ

5. คำแปลและการรวบรวม ตามข้อ 1-4 ซึ่งทางราชการจัดทำขึ้น

การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์

สิทธิ์ ในลิขสิทธิ์จะเกิดขึ้นโดยทันที นับตั้งแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ผลงาน โดยไม่ต้องจดทะเบียน

ดังนั้น เจ้าของลิขสิทธิ์จึงควรที่จะปกป้องคุ้มครองสิทธิ์ของตนเอง โดยการเก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆ ที่ได้ทำการสร้างสรรค์ผลงานนั้นขึ้น เพื่อประโยชน์ในการพิสูจน์สิทธิ์ หรือความเป็นเจ้าของในโอกาสต่อไป

ใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์?

เจ้าของลิขสิทธิ์นอกจากจะเป็นผู้สร้างสรรค์งานแล้ว บุคคลอื่นอาจมีสิทธิ์ในงานที่สร้างสรรค์นั้นก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงต่างๆ ในการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ เช่น การสร้างสรรค์งานร่วมกัน การว่าจ้างให้สร้างสรรค์งาน การโอนสิทธิ์ในลิขสิทธิ์ เป็นต้น ดังนั้นผู้มีลิขสิทธิ์จะเป็นบุคคล หรือกลุ่มบุคคล ต่อไปนี้

1. ผู้สร้างสรรค์งานขึ้นใหม่ ทั้งที่สร้างสรรค์งานด้วยตนเองเพียงผู้เดียว หรือผู้สร้างสรรค์งานร่วมกัน

2. ผู้สร้างสรรค์ในฐานะพนักงาน หรือลูกจ้าง

3. ผู้ว่าจ้าง

4. ผู้รวบรวมหรือประกอบกันเข้า

5. กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือท้องถิ่น

6. ผู้รับโอนสิขสิทธิ์

7. ผู้สร้างสรรค์ซึ่งเป็นคนชาติภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญากรุงเบอร์น และประเทศในภาคีสมาชิกโองการค้าโลก

8. ผู้พิมพ์โฆษณางานที่ใช้นามแฝงหรือนามปากกาที่ไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค์

การคุ้มครองลิขสิทธิ์

เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ที่จะกระทำการใดๆ ต่องานอันมีลิขสิทธิ์ของตนดังนี้

1. ทำซ้ำ หรือดัดแปลง

2. การเผยแพร่ต่อสาธารณชน

3. ให้เช่าต้นฉบับ หรือสำเนางาน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียง

4. ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น

5. อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ์ในการเช่าซื้อ ดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชน และให้เช่าต้นฉบับ

อายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์

โดยทั่วๆ ไป การคุ้มครองลิขสิทธิ์ จะมีผลเกิดขึ้นโดยทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงาน โดยความคุ้มครองนี้จะมีผลตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และจะคุ้มครองต้อไปอีก 50 ปี นับตั้งแต่ผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต หากแต่มีงานบางประเภทจะมีการคุ้มครองที่แตกต่างกันไป โดยสรุปดังนี้

1. ในงานทั่วไป … ลิขสิทธิ์ จะมีอยู่ตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และจะมีต่อไปอีก 50 ปี นับตั้งแต่ผู้สร้างสรรถึงแก่ความตาย
กรณีเป็นผู้สร้างสรรค์ร่วม ก็ให้นับจากผู้สร้างสรรค์คนสุดท้านถึงแก่ความตาย

  • กรณีเป็นนิติบุคคล ลิขสิทธิ์จะมีอายุ 50 ปี นับตั้งแต่ที่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  • กรณีผู้สร้างสรรค์ใช้นามแฝง หรือไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค ลิขสิทธิ์มีอายุ 50 ปี นับตั้งแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น

2. งานภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ลิขสิทธิ์มีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานขึ้น

3. งานที่สร้างสรรค์โดยการว่าจ้าง หรือตามคำสั่ง ให้มีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานขึ้น

4. งานศิลปะประยุกต์ ลิขสิทธิ์จะมีอายุ 25 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานขึ้น

กรณีที่ได้มีการโฆษณางานเหล่านั้น ในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว ให้ลิขสิทธิ์มีอายุต่อไปอีก 50 ปี นับตั้งแต่โฆษณาครั้งแรก ยกเว้นในกรณีงานศิลปประยุกต์ ให้ลิขสิทธิ์มีอายุต่อไปอีก 25 ปี นับแต่โฆษณาครั้งแรก

ประโยชน์ของลิขสิทธิ์

1. ประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์

เจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฏหมายลิขสิทธิ์ และมีสิทธิ์แต่เพี่ยวผู้เดี่ยวที่จะกระทำการใดๆ เกี่ยวกับงานที่ได้สร้างสรรค์ขึ้น หรือผลงานตามข้อใดข้อหนึ่งดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ดังนั้นเจ้าของลิขสิทธิ์จะมีสิทธิ์ ทำซ้ำ หรือดัดแปลง จำหน่าย ให้เช่า คัดลอก เลียนแบบ ทำสำเนา การทำให้ปรากฏต่อสาธารณชน หรืออนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ์ของตนทั้งหมด หรือแต่บางส่วนก็ได้ โดยเจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม

2. ประโยชน์ของประชาชนหรือผู้บริโภค

การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ์ในผลงานลิขสิทธิ์ มีผลให้เกิดแรงจูงใจแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงาน ที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ มีคุณค่าทางวรรณกรรมและศีลปกรรมออกสู่ตลาดให้มากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับความรู้ ความบันเทิง และได้ผลงานที่มีคุณภาพ

การแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์

ลิขสิทธิ์ เป็นสิทธิ์ที่เกิดขึ้นทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงานโดยไม่ต้องจดทะเบียน … อย่างไรก็ตาม กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ได้รับทำให้มีการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลและรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ในการพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิ์เจ้าของลิขสิทธิ์ นอกจากนี้แล้วยังเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ต้องการขออนุญาตใช้ลิขสิทธิ์ สามารถตรวจค้นเพื่อประโยชน์ในการติดต่อธุรกิจกับเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย

การแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผู้แจ้งได้รับสิทธิ์ในผลงานนั้น หรือเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ดังนั้นการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์จะไม่ก่อให้เกิดสิทธิ์ใดๆ เพิ่มขึ้นจากสิทธิ์ที่มีอยู่เดิมของเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริง

เอกสารและหลักฐาน ประกอบการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์

1. แบบพิมพ์คำขอแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ จำนวน 2 ชุด ซึ่งผู้แจ้งจะต้องกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เช่น ประเภทของงาน ชื่อผู้แจ้ง ชื่อผู้สร้างสรรค์ สถานที่ติดต่อ ลักษณะของงาน วิธีการสร้างสรรค์ เป็นต้น

2. หลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หนังสือรับรองนิติบุคคล หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)

3. ผลงานลิขสิทธิ์ที่สร้างสรรค์ จำนวน 1 ชุด

สถานที่ติดต่อเกี่ยวกับลิขสิทธิ์

1. การแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ สามารถดำเนินการได้ ดังนี้

  • ส่วนจัดการงานลิขสิทธิ์ สำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัด ทุกจังกวัด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์มีภูมิลำเนาอยู่ และไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น

2. การตรวจค้นข้อมูลลิขสิทธิ์ ตรวจค้นได้ที่ส่วนจัดการงานลิขสิทธ์ สำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์
www.moc.go.th

12 ข้อที่ชาวเน็ตควรรู้ เกี่ยวกับพรบ.ลิขสิทธิ์

1. รูปของเรา ลิขสิทธิ์ของเรา

รูปภาพ ข้อความ ภาพถ่าย วิดีโอ คลิป ของเรา ที่เราถ่ายเอง หรือ จ้างถ่ายจ้างผลิต เป็นลิขสิทธิ์ของเราโดยอัตโนมัติทันที – สำนักข่าว เว็บไซต์ข่าว สื่อใดๆ จะเอาไปใช้งาน “ต้องขออนุญาตเราก่อน” และคุณสามารถให้พวกเขาใช้ฟรีๆ ได้ หรือจะเจรจาขอส่วนแบ่งรายได้ ก็ยังได้ด้วย

และแม้ว่าเราจะส่งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ ให้กับสถานีข่าว รายการวิทยุ หรือหนังสือพิมพ์เพื่อนำเอาไปเผยแพร่รายงาน ก็เป็นการให้ลิขสิทธิ์สำนักข่าวนั้นๆ เพื่อเผยแพร่เท่านั้น แต่กรรมสิทธิ์ (ความเป็นเจ้าของ) ก็ยังตกเป็นของเราเช่นเดิม แต่สื่อถ้าจะซื้อภาพถ่ายเราไปใช้ในรายงานข่าว ก็สามารถซื้อได้ในราคายุติธรรม ซึ่งก็ทำให้รายการข่าวต่างๆ ต้องหันมาทำข้อตกลงการซื้อขายภาพข่าว คลิปวิดีโอกับนักข่าวพลเมืองอย่างเป็นธุรกิจมากขึ้น

และสำนักข่าว เมื่อเอาคลิปเราไปใช้ ก็จะต้องระบุที่มา เจ้าของคลิปด้วย ไม่ใช่ซื้อไปแล้ว ขอไปแล้ว ไม่ระบุชื่อ แบบนี้ก็ยังผิด

แต่ “ถ้าเราโพสคลิปใน Youtube หรือ Facebook” แล้วตั้งค่าส่วนตัว ไม่ใช่ตั้งค่าสาธารณะ… อันนี้ระวังนะครับ สำนักข่าวจะเอาคลิป ภาพนี้ ไปใช้งานไม่ได้นะครับ เพราะไม่ได้ตั้งใจจะให้สาธารณะใช้ — ถ้าบังเอิญนักข่าวมาพบ มาเห็นเจอ ต้องมาขออนุญาตก่อนนะครับ เจ้าของต้องยินยอม จึงจะนำเอาไปใช้ได้

2. เตือนใจนัก Copy

ชาวเน็ตทั้งหลาย ที่ชอบ Copy สำเนาภาพ วิดีโอ เนื้อหาบทความ กราฟิก ฯลฯ ต่างๆ จากเว็บไซต์หรือแหล่งอื่นๆ มาแปะ วาง ใส่ทั้งเนื้อหานั้น ไว้ในช่องทางสื่อของของตนเอง เช่น Facebook , Instagram, Twitter หรือ Youtube ชาแนลของตนเองนั้น “ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์

แต่ถ้าการเอามาแปะนั้น อยู่ใน “บัญชีผู้ใช้งานทั่วไป คนธรรมดาที่ไม่ได้หาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์” ไม่ได้วางขายโฆษณาอะไร ก็ถือว่า “ยังผิดลิขสิทธิ์” แต่แก้ไขได้ โดยการที่ต้อง “ระบุเจ้าของผลงาน แหล่งที่มา หรือ ให้ข้อมูลระบุลิงก์ที่มา” ก็จะไม่ถือว่าผิดลิขสิทธิ์

(แต่ถ้าลืมบอกที่มาล่ะ เช่นไม่รู้ที่มาจริงๆ ก็แชร์เขามาเรื่อยๆ แบบนี้ผิดลิขสิทธิ์ไหม คำตอบคือ ก็ยังผิด แต่เป็นความผิดที่ยอมความได้อยู่แล้ว และคงไม่มีใครไปฟ้องเอาผิด เพราะเป็นการแชร์ที่ไม่ได้เอาไปประโยชน์เชิงพาณิชย์ แค่แชร์เพื่อกระจายข่าวสารข้อมูลเฉยๆ )

3. “เว็บท่า เว็บปรสิต”

บรรดาเว็บไซต์ “portal web” เช่น Kapook, Sanook , MTai หรือเว็บไซต์กระทู้สนทนาดังๆ อย่าง Pantip.com ถ้าจะเอาพวก ภาพ ข้อความ คลิป วิดีโอ บทความ รายงาน สกู๊ป รายการโทรทัศน์ เพลง มิวสิกวีดีโอ มาลงในเว็บของตนเอง ผิดหรือไม่ ? … ผิดครับ เพราะเว็บไซต์เหล่านี้มีการหารายได้จากการโฆษณา

แล้วถ้าระบุว่า “ขอบคุณที่มาจาก….” จะยังผิดไหม ? …. คำตอบคือ ก็ยังผิดอยู่ดีครับผม เพราะก็ยังใช้เชิงพาณิชย์ (ถึงจะขอบคุณก็ตาม)

ถ้าเว็บไซต์ที่มีโฆษณา มีแบนเนอร์ อยากทำเพียงแค่ “ก๊อบปี้พาดหัวข่าว” และ “ก๊อปปี้ ลิงก์ข่าว” มาวางไว้ในเพจตัวเอง แล้วเมื่อคนอ่านมากดคลิ๊ก จะนำลิ้งก์ไปที่ต้นทาง ต้นฉบับของหนังสือพิมพ์ ของเว็บไซต์ต้นทาง (โดยที่เราไม่ได้เอาเนื้อหาข่าวมาวางในเว็บเรา) แบบนี้ “ไม่ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์” นะครับ

ถ้าจะทำให้ถูก คือต้องไปตกลงเจรจา ขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจะดีกว่า (เช่นจะขอฟรีๆ ก็ต้องฟรีแบบมีสัญญา หรือจะทำการซื้อขายแบ่งปันรายได้ก็แล้วแต่ตกลง)

4. “ข่าวไม่มีลิขสิทธิ์ จริงหรือ”

ถ้าถามว่า เราจะแชร์ข่าว ผิดไหม? ตอบเลยว่า คนธรรมดา แชร์ข่าวไม่ผิดครับ แชร์ได้ตามปกติ และควรแชร์จากแหล่งต้นฉบับ ต้นทาง ไม่ใช่ มาโพสต์แชร์ใหม่

(แต่ ถึงเอาข่าว บทความ มาโพสต์แชร์ใหม่ ในเฟซบุ๊กบัญชีบุคคลธรรมดา ถ้าเอามาทั้งต้นฉบับเหมือเดิม และบอกระบุแหล่งที่มา แบบนี้ก็ไม่ผิดนะครับ เพราะไม่ถือว่าใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์)

แต่ถ้า “เว็บตระกูลท่า ตระกูลซ่า หรือ ตระกูลไลค์” ทั้งหลาย เอาข่าวแชร์มา มาแปะวางลิงก์ในเว็บตัวเอง พอคนกดคลิ๊ก ก็ยังเป็นการคลิ๊กอ่านในยูอาร์แอลของตนเอง อันนี้ผิดลิขสิทธิ์นะครับ และยิ่งเอาภาพข่าวเขามาด้วย เอาคลิปข่าว คลิปสัมภาษณ์ ภาพกราฟิกเขามาด้วย ยิ่งผิดหนักเลยครับ (ถ้าไม่ขออนุญาต ไม่เจรจาซื้อขาย ก็ยิ่งผิดมาก)

5. แฟนคลับ เซฟรูปดารา ในไอจี ผิดไหม?

หลายคนเป็นแฟนคลับดารา ชอบและติดตาม บางคนเซฟรูปไว้ดูในมือถือ คอมพิวเตอร์ตนเอง ถามว่า ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ไหม คำตอบคือ “ผิด – แต่ยอมความได้นะครับ” เพราะไม่ได้เอาไปใช้ทำอะไร เอาไว้ใช้ส่วนตัวด้วยซ้ำ แต่ถ้าเอาไปเผยแพร่ซ้ำ ตัดต่อ อันนี้ก็ยิ่งผิดไปเลย

ส่วนถ้าเป็นสำนักข่าวบันเทิง เซฟรูปดาราในไอจี หรือ เอาแหล่งรูปดาราในไอจีต่างๆ พริ๊ตตี้ คนดัง คนทั่วไปที่เป็นเน็ตไอดอล หน้าตาดี มาวางไว้ในเว็บไซต์ข่าวตัวเอง อันนี้ยิ่งผิดกฎหมายลิขสิทธิ์เลยนะครับ ฉะนั้น รีบไปเอาออกซะครับ

6. คอเกาหลี ซีรี่ส์ต่างประเทศ

เว็บดูหนัง ดูซีรี่ส์ เกาหลี หนังต่างประเทศ หนังแผ่น หนังออนไลน์ หนังชนโรง อันนี้ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์แน่นอน ทั้งที่ไปเอามาจากต่างประเทศ เอามาจากในประเทศ เอารายการโทรทัศน์มา แล้วมาใส่ซับไทย ทำแปล ทำพากย์ภาษาเอง และมีการวางขายโฆษณา แบนเนอร์ต่างๆ

แนะนำเลยว่า “รีบปลด และรีบปิดด่วนๆ” เพราะอันนี้ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ชัดๆ และโทษน่าจะแรงที่สุดนะครับ แอดมินคอหนังซีรี่ส์เกาหลีทั้งหลาย ต้องระวังตัวเลยนะครับ

7. ข่าวต่างประเทศ ทำอย่างไร?

สำนักข่าวเอาข่าวหนังสือพิมพ์มาอ่าน เอาข่าวต่างประเทศมาแปลผิดไหม? คำตอบคือ ถ้าแปลเฉพาะเนื้อหาข่าว มารายงาน อ่านนิ่งๆ ไม่มีภาพประกอบ ไม่ผิดครับ แต่ถ้าเอาภาพ คลิปวิดีโอเขามาใช้ประกอบ (แล้วไม่ได้ขอ ไม่ได้ซื้อ) อันนี้ผิดกฎหมายครับ และโดนฟ้องร้องค่าเสียหายแพงมากด้วย

ส่วนที่เอาข่าวหนังสือพิมพ์ มาเปิดดูแสดงหน้าหนึ่งในรายการโทรทัศน์ ไม่ถือว่าผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ เอามาเล่า คุย ในรายการข่าว ก็ไม่ผิด ถ้าเอามาเล่าหรืออ่านในลีลาตัวเอง แต่ถ้าเอามานั่งอ่านจริงๆ ตามตัวอักษรเป๊ะๆ ทุกคำ แถมยังใช้กล้อง แช่ภาพข่าวนั้นๆ อย่างนาน และจน(ต้องพิสูจน์)เป็นเหตุให้ คนดูรายการข่าว ไม่ไปซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านจริงๆ เพราะเนื่องจากดูรายการคุยข่าวจนหมด จนพอใจที่จะคิดว่าไม่ต้องไปซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านแล้ว — แบบนี้ถือว่า ผิดลิขสิทธิ์นะครับ เพราะถือว่าหนังสือพิมพ์เสียประโยชน์

8. ถ่ายคลิปในโรงหนัง

ดูหนังในโรงภาพยนตร์ ถ่ายคลิปหนังนั้นๆ ทั้งหมดหรือบางส่วน เอามาดูเองที่บ้าน ไม่ได้เอาไปขายทำหนังแผ่น ก็ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์นะครับ

9. อยากช่วยคนพิการเข้าถึงสื่อ

อยากเป็นคนจิตใจดี ช่วยทำซ้ำ ดัดแปลง งานอันมีลิขสิทธิ์ เช่นหนัง รายการโทรทัศน์ เพลง ฯลฯ เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงงานนั้นได้ โดยมิใช่เป็นการแสวงหากำไร ไม่ผิดลิขสิทธิ์นะครับ

10. ขายของเป็นมือสอง สำเนาเก็บสำรอง

ซื้อหนัง ซื้อเพลง ภาพวาด หนังสือ ภาพถ่าย อย่างถูกต้องตามกฎหมายมาแล้ว ใช้งานจนเบื่อ อยากเอาไปขาย เป็นสินค้ามือสอง ไม่ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์นะครับ

หรือจะสำเนาซ้ำ อยากเก็บอยากใช้แต่แผ่นสำเนา ส่วนแผ่นจริงเก็บเอาไว้ เอาแผ่นสำเนามาใช้เอง มาดูเอง ก็ยังไม่ถือว่าการสำเนาซ้ำนั้นผิดลิขสิทธิ์นะครับ (เพียงแต่อย่าสำเนาแล้วแจกจ่ายให้เพื่อนบ้าน เครือญาตินะครับ อันนั้นผิด)

ยกเว้นว่า ทำสำเนาซ้ำจากต้นฉบับที่ซื้อมา แล้วเอาสำเนาซ้ำนั้นไปขายเพื่อการค้า หาเงิน แบบนั้นก็ถือว่าผิดลิขสิทธิ์แล้วครับ

11. เอาไปใช้ในการศึกษา

อาจารย์ นักศึกษา สำเนาข้อมูล งานวิจัย สื่อภาพยนตร์ วิดีทัศน์ เอาไปใช้ในการศึกษา เพื่อการค้นคว้า วิจัย ไม่ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์นะครับ… บรรณารักษ์สำเนาหนังสือหายาก ไม่ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ แต่ถ้าบรรณารักษ์สำเนาหนัง เพลง หนังสือ ที่ยังอยู่ในช่วงของการหาประโยชน์รายได้อยู่ แบบนั้นบรรณารักษ์ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์นะครับ

12. ใส่รหัสป้องกันละเมิดสิทธิ์ได้ไหม

ผลงานทุกอย่าง สามารถใส่รหัสป้องกันการละเมิดสิทธิ์ได้ หรือเราสามารถกำหนดวิธีการนำไปใช้งานได้ ตามที่เราจะเห็นสมควร เช่น เพื่อประโยชน์การศึกษา เพื่อวิจัย เพื่ออะไรก็ได้ตามที่เราระบุแต่แรก เรายังมีสิทธิ์ใส่ลายน้ำ ลายเซ็น ข้อมูลดิจิทัล หรือใส่รหัสป้องกันการละเมิดดิจิทัลได้ และถ้าใครมาละเมิดหรือทำลายระบบป้องกันนั้น ก็ถือว่าผิดลิขสิทธิ์เช่นกัน

จำไว้ว่า สิ่งที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ คือ

(1) ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร ฯลฯ (แต่ถ้าเป็น สกู๊ปข่าว บทวิเคราะห์ บทสัมภาษณ์ คลิปภาพวิดีโอ ภาพถ่าย ภาพนิ่ง ภาพกราฟิกประกอบข่าว อันนี้มีลิขสิทธิ์คุ้มครอง)

(2) รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย

(3) ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของหน่วยราชการ

(4) คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ

(5) คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่างๆ ตามข้อ 1-4 ที่หน่วยราชการจัดทำขึ้น

สุดท้าย จบที่ความหมายของคำว่า “ลิขสิทธิ์” กันนะครับ ว่าหมายถึง สิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ลิขสิทธิ์เป็นผลงานที่เกิดจากการใช้สติปัญญา ความรู้ความสามารถ และความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์งานให้เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง

โดยหลักแล้วผู้สร้างสรรค์งานเป็นผู้มีลิขสิทธิ์

  • ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิแต่ผู้เดียว (exclusive rights)
  • ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิในทางทรัพย์สิน (property rights)
  • ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิที่มีจำกัดเวลา
  • ลิขสิทธิ์เป็นสหสิทธิ (multiple rights)
  • ลิขสิทธิ์แยกต่างหากจากกรรมสิทธิ์ (independence of ownership)

เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวดังต่อไปนี้

  • สิทธิในการทำซ้ำหรือดัดแปลง
  • สิทธิในการเผยแพร่ต่อสาธารณชน
  • สิทธิในการให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียง
  • สิทธิในการให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น
  • สิทธิในการอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์ดังกล่าวข้างต้น

ที่มาบทความ  คุณเอกยุทธ จิระชัย , www.e-bookcenter.biz ภาพจาก http://stocksnap.io

บทความแนะนำ