โรคแพนิค หรือโรควิตกกังวลแบบตื่นตระหนก เป็นหนึ่งในความผิดปกติทางจิตเวชที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน ผู้ป่วยมักประสบกับอาการตื่นตระหนกอย่างรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับโรคแพนิคคืออะไร ? ทั้งอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย และแนวทางการรักษา เพื่อให้เข้าใจโรคนี้มากขึ้นและสามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม
“โรคแพนิคคืออะไร ?
อาการของโรคแพนิคคืออะไร ?
อาการสำคัญของโรคแพนิค คือการเกิดอาการตื่นตระหนกอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน โดยมักมีอาการทางร่างกายร่วมด้วย ได้แก่
- หัวใจเต้นเร็วและแรง
- เหงื่อออกมาก
- หายใจลำบากหรือหายใจถี่
- รู้สึกสั่น กระสับกระส่าย
- เจ็บหน้าอกหรือรู้สึกอึดอัดในหน้าอก
- คลื่นไส้ หรือปวดท้อง
- วิงเวียนศีรษะ รู้สึกเหมือนจะเป็นลม
- รู้สึกชาหรือเสียวซ่านตามร่างกาย
- รู้สึกร้อนหรือหนาวสั่น
- รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือรู้สึกแยกตัวออกจากความเป็นจริง
นอกจากอาการทางกายแล้ว ผู้ป่วยยังมักมีความรู้สึกกลัวอย่างรุนแรง เช่น กลัวว่าจะเสียชีวิต กลัวว่าจะเป็นบ้า หรือกลัวว่าจะสูญเสียการควบคุม อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่สุดภายใน 10 นาที แล้วค่อยๆ ลดลงภายใน 20-30 นาที
สาเหตุของโรคแพนิคคืออะไร ?
แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคแพนิค แต่นักวิจัยเชื่อว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่
- พันธุกรรม: มีการพบว่าโรคแพนิคมีแนวโน้มที่จะถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
- ความผิดปกติทางสมอง: ความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง เช่น เซโรโทนิน อาจมีส่วนทำให้เกิดอาการ
- ความเครียดสะสม: เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดอย่างมาก หรือความเครียดที่สะสมเป็นเวลานาน อาจกระตุ้นให้เกิดอาการได้
- บุคลิกภาพ: ผู้ที่มีบุคลิกภาพวิตกกังวลหรืออ่อนไหวง่าย อาจมีความเสี่ยงสูงกว่า
- ประสบการณ์ในวัยเด็ก: การถูกทารุณกรรมหรือสูญเสียบุคคลสำคัญในวัยเด็ก อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคแพนิค
การวินิจฉัยโรคแพนิค
การวินิจฉัยโรคแพนิคต้องอาศัยการประเมินอาการทางคลินิกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมักเป็นจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาคลินิก ขั้นตอนการวินิจฉัยอาจประกอบด้วย
- การสัมภาษณ์ทางคลินิก: แพทย์จะซักประวัติอาการอย่างละเอียด รวมถึงความถี่และความรุนแรงของอาการ
- การตรวจร่างกาย: เพื่อแยกโรคทางกายที่อาจมีอาการคล้ายคลึงกัน
- การใช้แบบประเมินทางจิตวิทยา: เพื่อประเมินระดับความรุนแรงของอาการและผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: ในบางกรณี อาจมีการตรวจเลือดหรือการตรวจพิเศษอื่นๆ เพื่อแยกโรคทางกายที่อาจเป็นสาเหตุของอาการ
การรักษาโรคแพนิค
การรักษาโรคแพนิคมักใช้วิธีการผสมผสาน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความถี่และความรุนแรงของอาการ ตลอดจนปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย แนวทางการรักษาหลักๆ ได้แก่
1. การรักษาด้วยยา
- ยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors) เช่น fluoxetine, sertraline
- ยาคลายกังวลกลุ่ม Benzodiazepines เช่น alprazolam, clonazepam (ใช้ในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากมีความเสี่ยงในการเสพติด)
2. การบำบัดทางจิตวิทยา
- การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy – CBT): ช่วยปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
- การฝึกหายใจและการผ่อนคลาย: ช่วยควบคุมอาการทางร่างกายเมื่อเกิดอาการตื่นตระหนก
- การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่กลัว (Exposure Therapy): ช่วยลดความกลัวและหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่กระตุ้นอาการ
3. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
- การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- การลดการบริโภคคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
- การฝึกสมาธิหรือโยคะ
- การนอนหลับให้เพียงพอ
4. การสนับสนุนทางสังคม
- การเข้าร่วมกลุ่มช่วยเหลือตนเอง (Support Group)
- การให้ความรู้แก่ครอบครัวและคนใกล้ชิด
หลังจากที่ได้รู้แล้วว่า โรคแพนิคคืออะไร ? การความเข้าใจที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการและมีชีวิตที่มีคุณภาพได้ การตระหนักรู้ถึงอาการเบื้องต้นและการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญอย่างทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การสนับสนุนจากครอบครัวและสังคมก็มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูและการจัดการกับโรค การรักษาอย่างต่อเนื่องและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เหมาะสม จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ในระยะยาว