ชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นชมพู่พันธุ์ดั้งเดิมของไทยหน้าตาแปลกๆ มองผ่านนึกว่าเป็นลูกจันแต่ถ้ามีสีส้มเข้มจะคล้ายลูกพลับ พอกัดแล้วมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นดอกนมแมว ส่วนรสชาติหวานกว่าชมพู่ทั่วไปเนื้อมีความคล้ายชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นไม้ผลโบราณมากและหายาก แต่ตอนนี้กระแสเริ่มมาราคาจึงไม่เบาแล้วนะ สรรพคุณยังดีเลิศเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ต้องระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน
ชมพู่น้ำดอกไม้
ชมพู่น้ำดอกไม้อุดมด้วยวิตามินมากมาย ตั้งแต่ วิตามินเอ บี1 บี2 บี3 วิตามินซี มีแคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส และสังกะสี ที่สำคัญคือลดคอเลสเตอรอล
ต้นชมพู่น้ำดอกไม้ มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอินโด-มาลายัน ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค โดยจัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง เช่นเดียวกับชมพู่แดง มีความสูงของต้นประมาณ 10 เมตร เปลือกต้นค่อนข้างเรียบเป็นสีน้ำตาล ในปัจจุบันมีสายพันธุ์หลักอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ที่มาจากประเทศไทยผลจะเป็นสีเขียวอ่อน และพันธุ์ที่มาจากประเทศมาเลเซียผลเป็นจะเป็นสีแดง พบปลูกกันบ้างตามสวนเพื่อรับประทาน
สรรพคุณของชมพู่น้ำดอกไม้
- ผลใช้ปรุงเป็นยาชูกำลัง
- ผลมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจ
- เปลือก ต้น และเมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาแก้เบาหวาน
- ช่วยแก้ลมปลายไข้
- ใบมีสรรพคุณเป็นยาลดไข้
- ใบใช้เป็นยาแก้ตาอักเสบ
- เปลือกต้นใช้เป็นยาแก้ท้องเสียท้องร่วงได้ดี
- เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคบิด
- ใบสดนำมาต้มกับน้ำใช้ล้างแผลสด
- ใบสดใช้ตำพอกรักษาโรคผิวหนัง
ภาพจาก www.medthai.com