เมื่อย้อนกลับไปดูในช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้น ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างก็มีบุคคลที่คอยดูแลประเทศชาติให้รุ่งเรืองและสงบสุขกันอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซึ่งบุคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังนั้นก็เป็นที่ยอมรับจากประชาชนทั่วไป แต่ใครจะรู้บ้างนอกจากพวกเขาจะมีด้านที่สว่างแล้ว พวกเขายังแอบแฝงด้านมืดเอาไว้ด้วยเหมือนกัน จะมีเรื่องราวอะไรบ้าง? ต้องมาอ่านกันเองเลย
8 บุคคลทางประวัติศาสตร์
1. โทมัส เจฟเฟอร์สัน
อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา คนที่ 3 คือผู้ที่เคยประกาศว่า “มนุษย์ทุกคนถูกสร้างมาให้เท่าเทียมกัน” ในคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นบุคคลที่น่ายกย่องที่สุดในโลก แต่ใครจะรู้บ้างว่า เจฟเฟอร์สันมีทาสรับใช้นับร้อยอยู่ที่บ้านมอนติเซลโลของเขา แถมเขายังมีลูก 6 คนกับทาสหญิงคนหนึ่งที่มีชื่อว่า “ซัลลี เฮมมิงส์” ซึ่งในเวลาต่อมาเขาได้ปล่อยให้ลูกๆ ของเขาทั้ง 6 คน เป็นอิสรภาพในภายหลัง แต่ว่าเขาไม่ได้ปล่อยให้ซัลลีไปด้วย กลับให้อยู่กับเขาไปตลอด กระทั่งเจฟเฟอร์สันเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1826 ซัลลีจึงได้เป็นอิสระในที่สุด
2. วินสตัน เชอร์ชิล
รัฐบุรุษชาวอังกฤษ อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย เขาคือผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสงครามของศตวรรษที่ 20 นอกจากนี้เขายังเป็นศิลปิน นักเขียน และเคยได้รับรางวัลโนเบลในสาขาอักษรศาสตร์ ซึ่งยังเป็นบุคคลแรกที่ได้เป็น “พลเมืองเกียรติยศแห่งสหรัฐอเมริกา” แต่ในอีกมุมหนึ่ง เขาเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติหัวรุนแรง ซึ่งเชอร์ชิลได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการใช้ก๊าซพิษกับพวกชนเผ่าป่าเถื่อน ซึ่งมันจะแพร่กระจายความกลัวให้กับคนเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี” นอกจากนี้เขายังได้รับฉายาจากชาวแอฟริกันและอินเดียว่าเป็น “สัตว์ร้าย”
3. มหาตมะ คานธี
ผู้นำและนักการเมืองที่มีชื่อเสีบงชาวอินเดีย ได้รับฉายาว่าเป็น “บิดาแห่งชาติ” ของชาวอินเดีย และเป็นสัญลักษณ์ของความสุขสงบ ความรัก ความหวังของโลก แต่ก็มีการกล่าวว่า “คานธีเป็นพวกที่กระหายทางเพศมาก” เขาบังคับให้สาวกของเขาที่เป็นผู้หญิงและยังรวมถึงหลานสาวของตัวเอง นอนเปลือยกายกับเขา และเขาจะทำพิธีการทดสอบพรหมจรรย์ กับสาวๆ เหล่านี้อีกด้วย
4. จอห์น เลนนอน
สมาชิกวงเดอะบีเทิลส์ ผู้ที่เขียนเพลงเกี่ยวกับความรักและสันติภาพมากมาย แต่ลูกชายของเขา “จูเลียน เลนนอน” กล่าวว่าเขากลายเป็นเหมือนอีกคนหนึ่งเวลาอยู่ที่บ้าน โดยในปี ค.ศ. 1998 จูเลียนเคยได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมรู้สึกว่าเขาเป็นพวกชอบเสแสร้ง พ่อมักจะพูดเรื่องความรักและสันติภาพกับคนอื่นทั่วโลก แต่เขาไม่เคยแสดงสิ่งเหล่านั้นกับภรรยาและลูกๆ เลย” โดยหลังจากจอห์นและแม่ของจูเลียนได้หย่าร้างกันในปี ค.ศ. 1968 จอห์นก็แทบไม่เคยมาเยี่ยมและพูดคุยกับจูเลียนอีกเลย
5. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
ชายผู้เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนเพื่อชาวผิวสี จนถูกยกย่องให้เป็น “บุรษแห่งปี” ในปี ค.ศ. 1963 และในปีต่อมาเขาได้กลายเป็นชายหนุ่มที่มีอายุน้อยที่สุด ที่ได้รับรางวัลโนเบล แต่ครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1985 ภรรยาของเขาได้บริจาคงานเขียนของเขาให้กับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แต่เจ้าหน้าที่สังเกตพบว่า ในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาที่ให้กับมหาวิทยาลัยบอสตัน มีเนื้อหาส่วนใหญ่ถูกคัดลอกมาจากนักเรียนคนหนึ่งที่มีชื่อว่า “แจ็ค บูเซอร์” หลังจากนั้นทางมหาวิทยาลัยบอสตันจึงได้ทำการตรวจสอบ และในที่สุดก็พบว่าเขาได้ทำการคัดลอกเนื้อหามาจริงๆ
6. เซอร์ โรอัลด์ ดาห์ล
นักเขียนชาวเวลส์ ผู้ที่มีชื่อเสียงในการเขียนหนังสือเด็ก โดยผลงานที่โด่งดังของเขาก็คือ “The Gremlins, Matilda และ Charlie and the Chocolate Factory” แต่ใครจะรู้บ้างว่าจริงๆ แล้ว ดาห์ล เป็นพวกที่เกลียดผู้หญิงอย่างรุนแรงและยังมีแนวคิดแบบนาซี ถึงขนาดเคยออกโรงปกป้องฮิตเลอร์อีกด้วย
7. อับราฮัม ลินคอล์น
นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองอเมริกา ลินคอล์นกลายเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ แต่จดหมายส่วนตัวของเขากลับบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างออกไป ซึ่งจริงๆ แล้วเจตนารมณ์ของเขาที่แท้จริงไม่ใช่การปลดปล่อยทาส แต่เป็นการช่วย “สหภาพ” โดยในปี ค.ศ. 1862 เขาเขียนจดหมายถึง โฮเรซ กรีลีย์ บรรณาธิการของ New York Tribune ว่า “ถ้ามันสามารถช่วยสหภาพได้ โดยไม่ต้องปลอดปล่อยทหาร ผมจะทำมัน”
8. วอลต์ ดิสนีย์
ชายผู้เป็นตำนานที่ให้กำเนิดการ์ตูนดิสนีย์และสวนสนุกที่โด่งดังที่สุดในโลก จนกลายมาเป็นที่รักของเด็กๆ ทุกคนถึงในปัจจุบันนี้ แต่ใครจะรู้บ้างว่าเขาไม่ได้เป็นคนร่าเริง ดูสนุกสนาน หรือเป็นที่รักอย่างภาพที่ได้เราเห็นกัน แถมเขายังเคยสร้างภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นถึงการเหยียดเชื้อชาติและคลั่งชาติให้เราได้เห็นกันด้วย อย่างเช่น ภาพยนตร์การตูนดิสนีย์เรื่อง “Song of the South” ที่ถูกพิจารณาว่าเป็นการ์ตูนที่เหยียดเชื้อชาติอย่างเห็นได้ชัดที่สุด
ที่มา : http://www.viralnova.com