ในโลกยุคใหม่ ความสามารถทางด้านภาษา จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับการทำงานในบริษัท หรือออฟฟิศชื่อดังทั้งหลาย ที่นิยมสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก หลายๆ คนจึงหันมาใส่ใจกับการเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ที่มีหลักสูตรคณะอินเตอร์ หรือหลักสูตรนานาชาติกันอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูไปสู่อนาคตอันรุ่งเรือง แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ก็ต้องผ่านการสอบ SAT ในระดับมัธยมให้ได้คะแนนดีเสียก่อน วันนี้เราจะมาดูกันว่า ทำไมต้องติว sat หรือปูพื้นฐาน SAT สอบทำไม ต้องรู้อะไรบ้าง
การสอบ SAT
การสอบ SAT คือ
SAT หรือ Scholastic Aptitude Test หรือ The Scholastic Assessment Test เป็นการสอบของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อใช้เป็นคะแนนสมัครเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยในระบบอินเตอร์ หรือมหาวิทยาลัยในต่างประเทศกว่า 85 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา SAT จะมีการสอบ 2 ภาควิชาด้วยกัน คือ ภาษาอังกฤษ (SAT English) และคณิตศาสตร์ (SAT Math)
โดยสนามสอบ SAT จะจัดขึ้นตามโรงเรียนอินเตอร์ โรงเรียนนานาชาติ หรือมหาวิทยาลัย ผู้สมัครสอบสามารถเลือกสถานที่สอบได้ตามที่ต้องการ โดยเข้าไปสมัครสอบได้ที่เว็บไซต์ขององค์กร College Board ที่มีหน้าที่พัฒนาข้อสอบ ทั้งนี้ ผู้ที่มีคุณสมบัติในการเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้ จะต้องมีพื้นฐานสำคัญ คือ ทักษะด้านการอ่าน การคิดวิเคราะห์ รวมทั้งความสามารถในการเขียนบรรยาย
คุณสมบัติของผู้เข้าสอบ SAT มีอะไรบ้าง
การสอบ SAT (Scholastic Aptitude Test) ไม่จำกัดอายุผู้เข้าสอบ แต่จำกัดอายุของผลคะแนนสอบ ผู้ที่เคยสอบ SAT สามารถเก็บคะแนนไว้ โดยมีอายุการใช้งานได้ 2 ปี โดย SAT เปิดให้สอบเป็นประจำทุก ๆ ปี ปีละ 4-5 ครั้ง ในเดือนมีนาคม พฤษภาคม สิงหาคม ตุลาคม และธันวาคม
มีค่าสมัครสอบ ประมาณ 3,300 บาท แต่สำหรับคนที่สมัครสอบช้า หรือสมัครก่อนวันสอบ 1 เดือน หรือไม่ถึง จะมีค่า Late Fee เพิ่มอีกประมาณ 1,000 บาท
การแบ่งกลุ่มข้อสอบของ SAT
SAT จะมีการสอบ 2 ภาควิชาด้วยกัน คือ ภาษาอังกฤษ SAT English และคณิตศาสตร์ SAT Math โดยทั้งสองวิชารวมกันจะมีคะแนนเต็ม 1,600 คะแนน (คณิตศาสตร์ 800 คะแนน อังกฤษ 800 คะแนน) มีรายละเอียดดังนี้
SAT Englis เป็นการสอบภาษาอังกฤษ ด้าน Evidenced – Based Reading and Writing รวม 800 คะแนน มีเวลาในการสอบ 1 ชั่วโมง 40 นาที ประกอบด้วย ข้อสอบ 2 ชุด คือ Reading Section และ Writing and Language
SAT Mathematics เป็นการสอบเลข หรือคณิตศาสตร์ 800 คะแนน รวมเวลาในการสอบ 1 ชั่วโมง 20 นาที แบ่งออกเป็น
- Math Test (No Calculator) คือห้ามนำเครื่องคิดเลขเข้าไปใช้ในการสอบ มีเวลาในการสอบ 25 นาที
- Math Test + (Calculator) สามารถนำเครื่องคิดเลขเข้าไปใช้ในการสอบได้ โดยต้องเป็นเครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์ หรือ Scientific Calculator และตรงตามรุ่นที่ College Board กำหนดเท่านั้น มีเวลาในการสอบ 55 นาที
คะแนนสอบ SAT ควรต้องได้เท่าไหร่
หลักเกณฑ์การใช้คะแนนสอบ SAT มาเป็นตัวกำหนดในการรับเข้าเรียนตามสถาบันการศึกษา จะมีคะแนนในการยื่นที่แตกต่างกันออกไป โดยในแต่ละมหาวิทยาลัยจะเป็นผู้กำหนดคะแนนเอง ยกตัวอย่างเช่น
- คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ International School of Engineering (ISE จุฬาฯ) กำหนดคะแนน Math 620 คะแนนขึ้นไป
- คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Bachelor of Business Administration (BBA จุฬาฯ) กำหนดคะแนน Math + Evidence – Based Reading & Writing 1,270 คะแนนขึ้นไป
- คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ Bachelor of Arts Program in Journalism (BJM มธ.) กำหนดคะแนน Evidence – Based Reading & Writing 450 คะแนนขึ้นไป
จะเห็นได้ว่าในแต่ละคณะจะกำหนดคะแนนต่างกัน โดยเฉพาะคณะยอดฮิตอย่าง BBA ISE BJM EBA บางคณะเน้นไปที่ SAT Math บางคณะดูเฉพาะคะแนน SAT Eng แต่บางคณะจะใช้คะแนนสอบทั้งสองส่วนรวมกัน จึงต้องโฟกัสให้ดีว่ามีความสนใจเรียนในคณะอะไร จะได้เร่งปูพื้นฐานการสอบให้แข็งแรง
จะเห็นได้ว่าการสอบ SAT จะเป็นการสอบวัดผลที่ค่อนข้างมีความหลากหลาย โดยเน้นไปที่ทักษะในการคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รวมทั้งสื่อสารออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งยกระดับความพร้อมของผู้เข้าสอบ เพื่อเข้าสู่สถาบันการศึกษาในหลักสูตรอินเตอร์ ดังนั้น การมีพื้นฐานที่ดี รู้จักรับมือกับโจทย์ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
ใครที่กำลังมองหาคอร์สติว sat ดีๆ เน้นการสอนที่ช่วยให้นำไปปรับใช้กับข้อสอบ SAT part ต่างๆ ได้ แนะนำให้เข้าไปดูรายละเอียด tutoring for sat ได้ที่ Interpass ที่ 1 ด้านอินเตอร์ เนื้อหาแน่น ครอบคลุมครบทุกทักษะ Listening, Reading, Writing และ Speaking ที่มีการพัฒนาเทคนิคหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง โดยติวเตอร์มากประสบการณ์ที่เข้าใจแนวข้อสอบ SAT เป็นอย่างดี