ในที่สุดเราก็ได้บทสรุปของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล2018-2019 นัดสุดท้ายเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2562 โดยแชมป์ได้ตกเป็นของ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยคะแนน 98 คะแนน คว้าแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน และเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 6 ด้วย เฉือนทีมอันดับ 2 อย่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่ได้ 97 คะแนน เป็นรองแชมป์ลีกที่แต้มสูงสุดในลีก
บทสรุปของพรีเมียร์ลีก 2018-2019
วันนี้ทางเราจะมานำเสนอ บทสรุปเรื่องราวต่างๆ ของพรีเมียร์ลีกที่เกิดขึ้นในปี 2018-2019 กันว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างไปดูกันเลย
1.เรือใบสีฟ้า ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ
แม้จะต้องลุ้นกันถึงนัดสุดท้ายแต่เราก็ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของกุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นั้นแข็งแกร่งสุดๆในตอนนี้ และยังเป็นที่ทีมที่สามารถป้องแชมป์ลีคได้สำเร็จโดยคว้าแชมป์ไปที่ด้วยคะแนน 98 แต้ม จากสถิติการเป็นทีมที่คว้าชัยชนะได้มากที่สุด (32 นัด), ยิงประตูได้มากที่สุด (95 ประตู), และมีผลต่างประตูได้-เสีย ที่ดีที่สุด (บวก 72 ประตู)
ถือว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดจริงๆ พวกเค้าแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะต้องเจอกับทีมไหนก็ตาม พวกเค้ามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นคือการเล่นให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นคือการที่พวกเค้าคว้าชนะ ในเกมลีกติดต่อกันถึง 14 นัดจนทำให้พวกเค้าได้แชมป์มาครองได้ในที่สุด
2.ลิเวอร์พูล รองแชมป์ลีคที่แต้มมากที่สุด
https://thailand.liverpoolfc.com
ลิเวอร์พูล เป็นรองแชมป์ที่มีแต้มมากที่สุดโดยได้คะแนนไปถึง 97 คะแนน แพ้เพียง 1 นัดเท่านั้น (แพ้แชมป์อย่างแมนซิตี้) ซึ่งหงส์แดงในปีนี้ถือว่าทำผลได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ทั้งผลงานส่วนบุคคล หรือแม้แต่ผลงานของทีม มีช่วงเวลาที่ขึ้นไปนำจ่าฟูงโดยแต้มห่างจากอันดับ 2 ในเวลานั้น (แมนซิตี้) ถึง 7 แต้มเลยทีเดียว แต่ด้วยความยอมเยี่ยมของ เรือใบสีฟ้า ที่ค่อยๆทำแต้มจี้มาเรื่อยๆและแซงหน้าคว้าแชมป์ลีคไปได้ในที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ต้องชม เจอร์เกน คลอปป์ กุนซือของ หงส์แดงที่พาทีมมาได้ขนาดนี้ถือว่าสุดยอดไม่แพ้กัน
3.บทสรุปโควต้า ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก และยูฟ่า ยูโรปาลีค
นอกจากการลุ้นแชมป์ที่แข่งกันสนุกสุดๆแล้ว การแย่งโควต้า ยูฟ่าแชมเปียนลีก ก็สนุกไม่แพ้กัน โดนมีถึง 4 ทีมที่ขับเคี้ยวกันอย่างสนุกไม่ว่าจะเป็น เซลซี ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ อาร์เซนอล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ลุ้นกันถึงช่วงท้ายฤดูกาลเลยทีเดียว และสุดท้ายเป็นทางเซลซี และท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่ได้อันดับ 3-4 ตามลำดับ
ส่วนอาร์เซนอลยังมีโอกาสลุ้นที่จะได้ไปสู้ศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกได้ถ้าพวกเขาคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรปาลีค ที่จะต้องพบกับเซลซีมาได้ ทางด้านแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ฟอร์มออกทะเลในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลทำได้เพียงจบที่ 6 พร้อมไปเล่น ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ในฤดูกาลหน้า
4.สถิติส่วนตัวของนักเตะแต่ละคน
หลังจบฤดูกาล นอกจากการคว้าแชมป์ลีคที่ลุ้นกันสนุกแล้ว รางวัลส่วนตัวต่างๆ ก็ยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดาวซัลโว ที่ปีนี้มีถึง 3 คนด้วยกันโดยยิงไปคนละ 22 ประตูนั้นคือโมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ สองแข้งจากลิเวอร์พูล และปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กองหน้าตัวความหวังชาวกาบองจาก อาร์เซน่อล
ส่วนท็อปแอสซิสต์พตกเป็นของ เอแด็น อาซาร์ เพลย์เมกเกอร์เดอะแบกของ เชลซี ที่ผ่านบอลให้เพื่อนไปถึง 15 ครั้งด้วยกัน ด้วยความพลิ้วของดาวเตะรายนี้ บวกกับเทคนิค และเซ้นส์บอลระดับเวิลด์คลาส ส่งให้ อาซาร์ เป็นอาวุธในเกมรุกที่ดีที่สุดของ “สิงโตน้ำเงินคราม” ยุคนี้ เลยก็ว่าได้
ทางด้านผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมตกเป็นของ อลีสซง เบ็คเกอร์ มือกาวของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล คว้ารางวัลนี้ไปได้หลังเก็บคลีนชีพในลีกซีซั่นนี้ไป 21 เกม ส่วนอันดับ 2 เป็นของ เอแดร์ซอน นายด่านของทีมแชมป์ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทำไป 20 เกม โดยทั้ง 2 คนยังเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 มือ 2 ทีมชาติบราซิลอีกด้วย
รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประจำฤดูกาลนี้ตกเป็นของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เซนเตอร์แบ็กทีมชาติฮอลแลนด์จาก ลิเวอร์พูล ได้รับรางวัลประจำฤดูกาลนี้ รวมทั้งจาก บีบีซี และ โฟร์โฟร์ทู ล่าสุก็เพิ่งได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำฤดูกาล 2018-19 สำหรับ ราฮีม สเตอร์ลิง คว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยม พีเอฟเอ กับแข้งยอดเยี่ยมแห่งปีของ สมาคมนักข่าว (เอฟดับเบิ้ลยูเอ) โดยทั้ง 2 สามารถโชว์การเล่นที่สุดออกมา ทำให้ต้นสังกัดของทั้ง 2 คนทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆ
5.เกมตัดสินแชมป์
ปีนี้นี้ศึกพรีเมียร์ลีกเป็นปีที่ลุ้นแชมป์กันได้มันสุดๆ เนื่องจากมี 2 ทีมที่ต้องลุ้นกันถึงนัดสุดท้ายกว่าจะตัดสินแชมป์ได้นั้นคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้และลิเวอร์พูล โดยทั้ง 2 ทีมพลัดกันนำพลัดกันตามโดนทางลิเวอร์พูล เคยนำเป็นจ่าฟูงห่างอันดับ 2 ถึง 7 แต้มก่อนมีโอกาสนำไปถึง 10 แต้มได้ด้วย
เพราะในวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูลที่ช่วงนั้นฟอร์มแรงสุดๆ โดยในเกมนั้นทั้ง 2 ทีมเล่นกันได้สูสี แต่เป็นทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เฉียบคมกว่าเอาชนะลิเวอร์พูลไปได้ และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับมามีลุ้นในการแย่งแชมป์อีกครั้ง
6.การเปลี่ยนแปลงของ “ปีศาจแดง”
แฟนบอลของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะกำลังคิดว่าเกิดอะไรกับทีมรักของตัวเอง ทำไมฟอร์มถึงได้เป็นแบบนี้ นับตั้งแต่ที่หมดยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไป “ปีศาจแดง” ก็ไม่สามารถกลับมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นได้เลย ซึ่งขนาดได้ยอดกุนซืออย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ มากก็ไม่สามารถทำให้ “ปีศาจแดง” กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ จนถึงขั้นที่แฟนๆออกมาเรียกร้องให้ปลด มูรินโญ่ออก
หลังจากที่บอร์ดบริหารทำการปลด มูรินโญ่ออก ก็ทำการไปดึงตัว โอเล กุลนา โซลชา มาคุมทีมเพื่อดึงจิตวิญญาณของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาซึ่งในช่วงแรกที่ โซลชาเข้ามาคุมทีมก็เหมือนจะไปจุดไฟความเป็น “ปีศาจแดง” ในตัวนักเตะออกมาได้ โดยทำผลงานสุดเจ๋งแข่งไป 17 นัดเอาชนะได้ถึง 14 นัด ขึ้นไปถึงอันดับ 4 ได้ช่วงเวลานึงเลยทีเดียว
แต่หลังจากนั้นก็เหมือนกับมนต์ที่โซลชาได้ร่ายให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นได้หมดลง ฟอร์มของ ปีศาจแดง ก็ดิ่งลงทันที่ จนทำให้จบฤดูกาลลงด้วยอันดับที่ 6 อดไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถึงอย่างไรก็ตามเราก็คงมาเอาใจช่วยให้ “ปีศาจแดง” ตนนี้กลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง เพื่อการลุ้นแชมป์ที่สนุกยิ่งขึ้น
7.ความสุดยอดของท็อตแนม ฮอตสเปอร์
ถ้าพูดถึงทีมที่ทำงานได้ดีจนต้องชื่นชมคงหนี้ไม่พ้น “ไก่เดือยทอง” ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ เพราะ สเปอร์ปีนี้เป็นทีมที่ไม่ได้ซื้อตัวผู้เล่นเลยแม้แต่คนเดียว แต่ด้วยความเก่งกาจของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ยอดกุนซือของทีมที่ทำทีมจนมีโอกาสลุ้นท่าชิงแชมป์อยู่ช่วงนึงก่อนจะโดนความแข็งแกร่งของ 2 ทีมหัวตารางทำคะแนนทิ้งห่างไปเรื่อยๆ และปัญญาตัวเจ็บ
และมีช่วงฟอร์มหลุดไปบ้าง จึงทำให้สเปอร์จบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 ในที่สุดแต่เราอย่าลืมว่า สเปอร์ทีมนี้เป็นทีมที่ใช่ผู้เล่นชุดเดิมมาตลอด จึงทำให้มีอาการล้า จนทำผลงานในลีกได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่พวกเขาคือทีมที่เข้ารอบชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในปีนี้ที่จะพบกับ ลิเวอร์พูล ทีมที่มาจากเกาะอังกฤษด้วยกัน ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องยอมรับว่าสเปอร์ทีมนี้คือทีมที่สุดยอดจริงๆ