เมื่อความแตกสลายกลายเป็นความงาม | มองข้อคิดการใช้ชีวิตผ่าน ‘คินสึงิ’ การซ่อมเครื่องกระเบื้องด้วยทอง

เวลาทำแก้วแตก ทำจานแตก คนส่วนใหญ่ก็มักจะเก็บทิ้ง แต่สำหรับชาวญี่ปุ่นแล้วพวกเขาคิดว่า ‘สิ่งใดที่แตกสลายแล้ว ซ่อมแซมใหม่ได้เสมอ’ จึงเกิดเป็นศิลปะการซ่อมแซมเศษเครื่องดินเผาหรือเซรามิคของญี่ปุ่น หรือ คินสึงิ (Kintsugi) ขึ้นมา

‘คินสึงิ’ ความแตกสลายที่งดงาม

คินสึงิคืออะไร?

คินสึงิ (Kintsugi) เป็นศิลปะของชาวญี่ปุ่นที่นำเศษเซรามิคที่แตกหักมาประกอบเข้าด้วยกัน โดยใช้น้ำยาเคลือบเซรามิคชนิดพิเศษที่มีส่วนผสมของทองคำแท้ๆ ซึ่งศิลปะเภทนี้ถูกแฝงไปด้วยหลักปรัชญาของเซน สะท้อนมุมมองที่เราใช้มองตัวเองและคนอื่น ซึ่งศิลปะคินสึงิ (Kintsugi) นั้นเริ่มต้นในสมัยมุโรมาจิ ซึ่งเป็นสมัยเดียวกันกับที่วัฒนธรรมการชงชาและการหันกลับมามองความงามในความเรียบง่ายเริ่มต้นขึ้น

ข้อคิดที่ได้จาก ‘คินสึงิ’

จงให้อภัยตัวเอง

หัวใจหลักของคินสึงิก็คือ ‘การให้อภัย’ จงรักตัวเองให้มาก นอกจากให้อภัยผู้อื่นแล้ว สิ่งที่เราต้องทำก็คือ รู้จักที่จะให้อภัยตัวเอง และยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ไม่ต้องปิด ไม่ต้องซ่อน ปล่อยให้มันเป็นไปในแบบที่มันควรจะเป็น เหมือนเช่นศิลปะคินสึงิ ที่เผยให้เห็นความงามของรอยแตกร้าวแทนที่จะพยายามปกปิดรอยซ่อมนั้น

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ

คินสึงิ ทำให้เรานึกถึงคำพูดที่ว่า “ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง” บนเส้นทางชีวิตของคนเรา อาจจะมีบางวันที่เราเลือกทางเดินผิด ตัดสินใจผิดพลาด และหลายคนเอาแต่จมอยู่กับความผิดพลาดในอดีต จนมองข้ามความสำคัญของสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเจ็บปวด ความกลัว ทุก ๆ อุปสรรคที่เราต้องเจอ สิ่งเหล่านั้นมันได้เปลี่ยนชีวิตของเรา ทุกครั้งที่ล้มเราจะลุกขึ้นยืนใหม่ได้แข็งแรงกว่าเดิม เพราะฉะนั้นจงภูมิใจกับทุก ๆ บาดแผล ถ้าคุณมองเห็นหัวใจของฉัน คุณจะเห็นว่ามันมีรอยแตก รอยร้าวสีทองอยู่เต็มไปหมด หัวใจของคุณก็เช่นกัน…

“สิ่งใดที่แตกสลายแล้ว ก็สามารถที่จะซ่อมแซมมันให้กลับเป็นปกติได้ ชีวิตก็เช่นกัน…”

ไม่มีความผิดพลาดครั้งใดที่สูญเปล่า

คินสึงิ แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงที่ว่า ‘ยิ่งเราต้องดิ้นรน ลองผิดลองถูก ผ่านความยากลำบาก และความเจ็บปวด มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้บางครั้งความผิดพลาดนั้นอาจจะไม่ใช่ความผิดของเราก็ตาม’ เมื่อไหร่ที่เราสามารถเปลี่ยนความคิด และไม่ยึดติดกับอดีตที่ผ่านมาได้ นั่นหมายความว่าเราได้เปลี่ยนเป็น ‘เราคนใหม่’ เป็นเราที่เก่งขึ้น เป็นเราที่พัฒนามากขึ้น และเป็นเราที่เข้มแข็งขึ้น

ขอบคุณที่มาจาก: spoon-tamago

Written by: Typrn

ข่าวที่เกี่ยวข้อง