ไขข้อสงสัย? ศุกร์ 13 วันอาถรรพ์-ความเชื่อ หรือความจริง ?

ไขข้อสงสัย? ศุกร์ 13 วันอาถรรพ์ ความเชื่อ หรือ ความจริง??? หลายๆ คนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวของตัวเลขอาถรรพ์ ศุกร์ 13 ซึ่งในบ้านเราถือเคล็ดด้วยการนิยมไม่ใช้เลขนี้กัน อาทิ การสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ อย่าง ตึกจะไม่มีชั้น 13 ลิฟท์ก็ไม่มีชั้น 13 เป็นต้น เคยสงสัยกันมั้ย? ว่าความเชื่อดังกล่าวนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วมันเป็นเรื่องที่เป็นเพียงความเชื่อ หรือความจริง?!!!!!

ศุกร์ 13 วันอาถรรพ์-ความเชื่อ หรือความจริง ?

ตัวเลข 1 กับ 3 บนปฏิทินยืนยันให้เห็นเป็นประจักษ์พยาน หลายคนเริ่มรู้สึกและตั้งคำถาม “จะมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นไหมนะ?” หลายเสียงตอบคำถามแตกต่างกันไป บ้างว่า..ต้องระวังของอย่างนี้มันมีอาถรรพ์ บ้างว่า..ล้าสมัยไม่มีใครเขาคิดอย่างนี้กันแล้ว
คำตอบจะเป็นอย่างไร มิอาจตัดสิน เพราะเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล

แต่ถ้าหากถามว่า “ศุกร์ 13 เป็นวันอาถรรพ์จริงหรือ?” ก็คงตอบชัดเจนไม่ได้ นอกจากจะมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟัง…

เริ่มจากความเชื่อของฝรั่งทั้งหลาย..

โดยเฉพาะนิกายคาทอลิกที่เห็นว่า “เลข 13” เป็นเลขโชคร้าย ไม่ดีถ้าเป็นฤกษ์ยามจะทำกิจการต่างๆ ก็นับเป็นฤกษ์ยามที่ไม่ดีเอาเสียเลย

ฝรั่งถือว่าเลข 13 เป็นเลขอับโชค ยิ่งเป็น “ศุกร์ 13” ด้วยแล้วยิ่งมหาอับโชค (ฝรั่ง) หลายๆ คน จึงไม่ยอมออกจากบ้านไปไหน เพราะเกรงว่าจะประสบกับความโชคร้าย เช่น เกิดอุบัติเหตุ หรือมีอันเป็นไปต่างๆ นานา เป็นต้น

ลัคกี้นัมเบอร์

แม้จะมีการแก้เคล็ดด้วยการเรียกเลข 13 เป็น “ลัคกี้นัมเบอร์” แต่ก็มิได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเลข 13 ของฝรั่งดูดีมีโชคขึ้น ยังคงสร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้คนที่เชื่อเรื่องโชคลาง

ความน่ากลัวของ “ศุกร์ 13” มาเพิ่มขีดมากขึ้นเมื่อมีภาพยนตร์เรื่อง “ศุกร์ 13 ฝันหวาน” ออกมาหลอกหลอนผู้คน ไม่ว่าจะทำภาคไหนออกมาก็ยังคงขายดิบขายดีขายได้

ความเชื่อเรื่องเลข 13 เริ่มแพร่กระจาย

ความเชื่อเรื่องเลข 13 เริ่มแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วข้ามน้ำข้ามทะเลมาฝั่งเอเชีย และเอเชียอาค เนย์ ด้วยเหตุเพราะกระแสแห่งโลกาภิวัตน์ ส่งผลให้บางคนบางพวกในเมืองไทยพลอยเชื่อเรื่อง อาถรรพ์เลข 13 ไปด้วย

ฉะนั้น บรรดาอาคารสำนักงานและโรงแรมจำนวนมากที่ก่อสร้างเป็นอาคารสูง และมีจำนวนชั้นมากกว่า 12 ชั้นขึ้นไปจะไม่มีชั้น 13 เป็นการเว้นไว้และเรียกชื่ออื่นแทน เช่น อาคารเอ็มบีเค ทาวเวอร์ ที่ก่อสร้างขึ้นเมื่อ 26 ปีก่อน เป็นอาคารสำนักงานสูง 20 ชั้น แต่ไม่มีชั้นที่ 13 โดยผู้สร้างเปลี่ยนเป็นเรียกชั้น 12 A แทนเช่นเดียวกับโรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ที่เป็นอาคารสูง 29 ชั้นก็ไม่มีชั้น 13 โดยมีชั้น 12 แล้วเป็น ชั้น 14 เลย เว้นเลข 13 ไว้

เหตุผลประการหนึ่ง เพราะโรงแรมต้องรองรับลูกค้าซึ่งส่วนมากเป็นลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะฝรั่ง

ตำนานของอาถรรพ์เลข 13

ตำนานของอาถรรพ์เลข 13 นั้น เชื่อกันว่า อาถรรพ์เลข 13 มีความเชื่อมโยงกับ “เดอะ ลาสต์ ซัพเปอร์” เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลที่มีคน 13 คนร่วมรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็น “วันศุกร์” แต่ก็มีอีกหลายตำรา บ้างก็ว่ามาจากความเชื่อและตำนานของ “ชาวนอร์ส” ในดินแดนสแกนดิเนเวียที่เกี่ยวกับ “เทพ 12 องค์” มารวมกันจัดงานเลี้ยงในห้องโถงของเอกีร์ เทพแห่งมหาสมุทร แล้วเทพแห่งไฟที่ชื่อ “โลกิ” ซึ่งไม่ได้รับเชิญมาร่วมงานจึงพังประตูรั้วเข้ามาร่วมงานในฐานะแขกคนที่ 13 และให้ “เทพฮอด” ซึ่งเป็นเทพแห่งความมืดมิดเพราะตาบอด โยนกิ่งของพืชกาฝากใส่ “บาลเดอร์” เทพแห่งความสุขและความยินดี จนบาลเดอร์สิ้นลมหายใจไปในทันที  ทำให้โลกต้องตกอยู่ในความมืดมิดและความเศร้าสลด

นิทานของชาวสแกนดิเนเวียยังมีเวอร์ชั่นอื่นอีก รวมถึงมีผู้แย้งว่าในบทกวีของโลกาเซนนา ที่เป็นภาษานอร์สโบราณได้กล่าวถึงชื่อของเทพทั้ง 17 องค์ที่ไปร่วมในงานเลี้ยง โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นเทพโลกิเป็นผู้พังประตูรั้วเข้าไปจริง แต่กลับไม่ใช่คนที่ 13 และก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจุดจบของเทพบาลเดอร์อีกด้วย

เพราะฉะนั้น ความเชื่อที่เก่าแก่ว่าด้วยอาถรรพ์เลข 13 จึงนิยมที่จะอ้างอิงเรื่องของเดอะ ลาสต์ ซัพเปอร์ มากที่สุด กระทั่งมีการบันทึกไว้เมื่อศตวรรษที่ 18 ว่า….

เชื่อกันว่าเมื่อใดก็ตามที่มีคน 13 คนมานั่งร่วมรับประทานอาหารในโต๊ะเดียวกัน คนที่ลุกจากโต๊ะไปเป็นคนแรกจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย

สำหรับเหตุผลที่เจาะจงว่าจะต้องเป็น “วันศุกร์” นั้น นอกจากกรณีที่ว่าพระเยซูถูกนำไปตรึงกางเขนในวันศุกร์แล้ว ในตำราของฝรั่งยังว่า “วันศุกร์” เป็นวันที่ใช้ประหารนักโทษ ทั้งยังถือว่าเป็นวัน “ทิป ทอด เดย์” (Tip Tod Day) หมายความว่าเป็น “วันปีศาจ” ชาวประมงในสมัยก่อนจึงไม่ออกทะเลในวันศุกร์

ความเชื่อแต่โบร่ำโบราณของฝรั่งยังห้าม “ไม่ให้ตัดเล็บในวันศุกร์” เพราะแม่มดจะมาขโมยเล็บเอาไปเสกให้เจ้าของเล็บกลายเป็นแม่มด รวมทั้งเชื่อว่าเมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาใหม่ๆ วันที่อีฟและอดัมละเมิดคำสั่งพระเจ้า กัดกินผลไม้ต้องห้ามในสวนอีเดนนั้นเป็น “วันศุกร์” และวันที่ทั้งสองถูกพระเจ้าลงโทษให้ลงมาชดใช้โทษที่โลกมนุษย์ก็เป็น “วันศุกร์” อีกเช่นกัน

เหตุฉะนี้เมื่อ “ศุกร์ 13” มาเยือน (ฝรั่ง) หลายๆ คนจึงปริวิตกหวาดผวาจนขึ้นสมอง กลายเป็น “โรคกลัววันศุกร์ที่ 13” ซึ่งมีชื่อเรียกยาวๆ ว่า “พาราสเคฟดิคาเทรียโฟเบีย” (paraskevidekatriaphobia) หรือโรค “ฟริกกาทริสไคเดคาโฟเบีย” (friggatriskaidekaphobia) มีการศึกษาประเมินกันว่า คนอเมริกันเป็นโรคพาราสเคฟดิคาเทรียโฟเบีย ถึง 21 ล้านคน หรือประมาณ 8% ของอเมริกันชนที่ยังอยู่ในความเชื่อเรื่องนี้

อย่าหัวเราะเยาะว่า โรคกลัววันศุกร์ที่ 13 เป็นเรื่องเล่นๆ

เพราะมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อย่างแน่นอน เรื่องนี้มีสถิติเกิดขึ้นแล้ว ที่ศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันบำบัดอาการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเริกา ประเมิน ว่า.. ในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐ อเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงินถึง 800-900 ล้านเหรียญสหรัฐ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน และเมื่อเปิดดูสถิติอุบัติเหตุในเรื่องจาก “ศุกร์ 13” ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก เมื่อผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน บริติช เมดิคัล เจอร์นัล เมื่อปี ค.ศ.1993 เรื่อง

“Is Friday the 13th Bad for Your Health?” ศึกษาความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 กับพฤติกรรมและสุขภาพ โดยเปรียบเทียบวันศุกร์ที่ 6 กับวันศุกร์ที่ 13 พบว่า

อัตราการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวันศุกร์ที่ 13 มีมากกว่าวันศุกร์ที่ 6 อย่างเห็นได้ชัด และในขณะที่น้อยคนเลือกที่จะขับรถออกจากบ้านในวันศุกร์ 13 แต่ตัวเลขคนที่ประสบอุบัติเหตุกลับมากกว่าวันศุกร์อื่นๆ ถึง 52%

กลับมาที่ประเทศไทย เรื่องของ “ศุกร์ 13” จะเป็นอาถรรพ์แบบฝรั่งหรือไม่!?

คงต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาของแต่ละบุคคล อาจมีบางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อ เหมือนกับเรื่องของโชคลางอื่นๆ เรื่องของโชคชะตา เรื่องของดวง ฮวงจุ้ย ว่าแต่ว่า..ศุกร์นี้ 13 กุมภา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเดินทางออกจากบ้าน!!! “วันไหนๆ ก็ดีทั้งนั้น”

(ซ้าย) อาจารย์หนู กันภัย (ขวา) อดิศร ยุทธโยธิน

อาจารย์หนู กันภัย เจ้าสำนักสักยันต์อาจารย์หนู กล่าวว่า “สำหรับคนไทยแล้ว จริงๆ ดีทุกวัน แต่คนเราอาจจะคิดไปกันเอง อาจจะตรงข้ามกับชาวต่างชาติ ตราบใดเรายังหายใจอยู่เราถือว่าเป็นวันมงคลทุกวัน ยกตัวอย่างคนจีนบอกว่าเลข 4 ไม่ดี เป็นเลขตาย ส่วนเลข 8 เลข 9 ดี แต่เห็นคนที่เขาประสบความสำเร็จประกอบกิจการต่างๆ รุ่งเรืองร่ำรวย รถเขายังออกด้วยเลข 4 เลยไม่เข้าใจว่ามีการถือกันยังไงกันแน่…

…ทางโหราศาสตร์เลข 13 ถือเป็นเลขมหาอุดได้ แล้วแต่ฤกษ์ที่จะคิดค้นขึ้นมาหรือฤกษ์ปลุกเสกขึ้นมา หรือจะเป็นด้านมืด “อาคมอุต” ก็ได้ (1+3 เท่ากับ 4 ทางจีนว่าไม่ดี) ตัวเลขก็เป็นเพียงตัวเลข ถ้าในตำราของไทยจริงๆ ยันต์ บางทีก็มีหมด ทั้ง 12 13 14 มีหมด ซึ่งเป็นหัวใจของพระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ ไม่มีตัวไหนที่ไม่เป็นมงคล ถือเป็นมงคลทั้งหมด

หรืออย่างวันพุธที่หลายคนบอกว่าเป็น “วันหัวกุดท้ายเน่า” แต่อาจารย์กลับคิดว่าเป็นวันมงคล เป็นวันราหู จริงๆ คนเขาจะคิดไปเอง บางตำราก็จะเเยกแตกแขนงกันออกไป บางครั้งก็ถือหลายลัทธิ สำหรับอาถรรพ์เลข 13 ถ้าคนไทยที่เป็นหนอนหนังสือ ชอบอ่านหนังสือหน่อยก็อาจจะถือตามเมืองนอก แต่ถ้าคนที่เขาเล่นวิชาอาคมจริงๆ อย่างเช่นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เขาถือว่าเป็นวันมงคล..

… คือ เลข 13 เป็นมหาอุด-อุดสิ่งที่ชั่วร้ายต่างๆ ตามตำราไทยเป็นมงคล คือไม่รับรู้ลิ้น ปาก จมูก หู กาย ใจ หมายถึงปิดทวารทั้ง 9 อุดหูไม่ให้ได้ยิน ปิดตาไม่ให้เห็นในสิ่งที่ไม่ดี ฯลฯ คือจะอุดสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เข้ามาหาตัวเรา”

“ศุกร์ 13 เป็นความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น” ด้าน อดิศร ยุทธโยธิน ผู้ช่วยเจ้าอธิการคริสตจักรพลับพลา ประชานิเวศน์ 1 ได้ให้ความเห็นว่า
“ธรรมดาแล้วในคัมภีร์ไบเบิลไม่มีการกล่าวถึงเรื่องศุกร์ 13 น่าจะเป็นความเชื่อของแต่ละท้องถิ่นหรือแต่ละประเทศมากกว่า ที่นำเรื่องเชื่อมโยงกันกับเรื่องของพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน แต่วันที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนนั้น ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงว่าเป็นวันที่ 13 จริงๆ แล้ว เพียงแต่ว่าตรงกับวันศุกร์เท่านั้น และในวันนี้ชาวคริสต์ก็เชื่อว่าวันนี้เป็นวันดี ที่เรียกกันว่า Good Friday เพราะเป็นวันที่พระเจ้าเสียสละชีวิตเพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ และหลังจากถูกฝังไม่นาน พระองค์ก็ฟื้นขึ้นมาจากความตาย

…ความเชื่อเรื่องอดัมกับอีฟ ที่ว่าทั้งคู่แอบกินลูกแอปเปิ้ลในสวนของเทพอีเดน จนทำให้ถูกขับไล่ออกจากสวน และอีฟได้เสียชีวิต ในไบเบิลก็ไม่ได้มีการบัญญัติไว้ว่าเป็นวันศุกร์  หรือเรื่องเดอะ ลาสทต์ ซัพเปอร์ (The Last Supper) อาหารมื้อสุดท้ายก่อนพระเยซูจะถูกตรึงไม้กางเขน ที่มีคนร่วมโต๊ะทั้งหมด 13 คน จนคิดว่าเป็นตัวเลขที่โชคร้าย ความจริงแล้วเป็นวันที่พระเยซูเรียกสาวกมาอธิบายว่าต่อไปภายหน้าเมื่อพระองค์ไม่อยู่แล้ว ให้ยึดถือว่าตัวขนมปังเป็นดั่งตัวแทนของพระองค์ และไวน์องุ่นเปรียบเสมือนเลือดของพระองค์ที่หลั่งรินออกจากร่างกาย ไม่ได้เกี่ยวกับความโชคดีหรือโชคร้ายแต่อย่างใด.. ในคัมภีร์ไบเบิลสอนว่า ไม่ได้บอกให้เราเชื่อเรื่องวันหรืออะไร เพราะทุกวันก็คือวันดี เราอธิษฐานมอบให้พระเจ้ามันก็จะเป็นวันดี พระเจ้าบอกว่าถ้าเราเชื่ออะไร ก็จะเป็นไปตามนั้น

ถ้าเราปล่อยให้สิ่งที่เราเชื่อมามีอำนาจเหนือเรา..”

—- —- —–

จะวันอาถรรพ์จริงหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล แต่สิ่งที่แน่นอน และควรทำที่สุดคือ ตั้งสติในการใช้ชีวิต อยู่ในความไม่ประมาทดีที่สุดค่ะ

บทความอื่น ๆ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง